สอนการบ้านทีไร ให้เขียน ให้สะกดคำ ไม่ยอมเขียน ไม่ยอมทำเลยคะ บอกเเค่ว่าทำไม่เป็น ทำไม่ได้ ก็นั่งร้องไห้ แล้วก็ไม่ยอมทำด้วยนะคะ บอกให้เขียนตามที่เรา
... ดูเพิ่ิ่มเติมHello คุณหมอ ชวนมาแชร์ไอเดีย “วิธีรับมือ เมื่อลูกถูกบูลลี่”
Hello คุณหมอ ชวนมาแชร์ไอเดีย “วิธีรับมือ เมื่อลูกถูกบูลลี่”
เพียงตั้งกระทู้พร้อมแชร์ไอเดีย ในหัวข้อ “วิธีรับมือ เมื่อลูกถูกบูลลี่”
🎁ลุ้นรับ Gift voucher Lotus’s มูลค่า 300 บาท 1 รางวัล
โพสร่วมกิจกรรม ใน ชุมชน Hello คุณหมอพร้อมลุ้นรับรางวัล
📌กติการ่วมสนุก
สมัครสมาชิกเพื่อเข้าร่วม ชุมชน Hello คุณหมอ
ตั้งกระทู้แชร์ไอเดีย
เงื่อนไขผู้โชคดี
Hello คุณหมอ จะเลือกผู้โชคดีจากคนที่แชร์ไอเดียได้โนใจ Hello คุณหมอ ที่สุด
📌เข้าร่วมกิจกรรมคลิกเลย
ระยะเวลาร่วมกิจกรรม วันนี้ - 11 มิถุนายน 2565 นี้เท่านั้น
11 ความเห็น
ล่าสุด
ให้ลูกคิดและหาทางแก้ปัญหาด้วยตัวเองก่อน
ถามคำถามที่ช่วยกระตุ้นให้ลูกคิดแก้ปัญหา หากยังโดนรังแกอีก ลูกจะทำอย่างไร? จากนั้นลองให้ลูกใช้วิธีของเค้าแก้ปัญหาด้วยตัวเองก่อน
บางทีนอกจากลูกจะไม่โดนรังแกแล้ว ลูกกับเพื่อนอาจกลับมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
และไม่ควรโอ๋ลูกจนเกินไป เพราะจะทำให้ลูกรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอ และต้องได้รับปกป้อง
สุดท้ายลูกไม่สามารถสู้ใครๆ และเผชิญปัญหาด้วยตัวเองไม่ได้
พยายามมีบทบาทในการแก้ปัญหา Bullying ให้กับลูก ผู้ใหญ่มีบทบาทที่สำคัญในการสร้างสังคมให้กับเด็ก และพยายามสร้างความเข้าใจในกลุ่มเด็กว่าการบลูลี่ เป็นพฤติกรรมที่ไม่ดี และไม่เป็นที่ยอมรับ
ต้องสอนลูกว่า "เขาทำไม่ดีมา ไม่ได้หมายความว่าเราทำไม่ดีตอบกลับไป
เพราะอะไร เพราะเราเป็นคนดีลูก คนพวกนี้อยู่ห่างได้ยิ่งดี ต้องปกป้องสุขภาพจิตตัวเอง เพราะว่าเราอยู่สูงกว่าเขา"
คนที่ชอบบูลลี่คนอื่นๆ คนพวกนี้มักมีนิสัยยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง ชอบควบคุมบงการคนอื่น เจ้าอารมณ์ และบ่อยครั้งที่คำพูดและการกระทำของของคนเหล่านี้ทำร้ายคนรอบตัวให้รู้สึกแย่ เครียด และเจ็บปวด การอยู่ใกล้คนเป็นพิษแบบนี้มันจะทำร้ายเราทั้งทางร่างกายและจิตใจ ฉะนั้นห่างได้ยิ่งดี อย่าอยู่ไปอยู่ใกล้
เราเป็นพ่อแม่ต้องสอนลูกให้เข้าใจถึงคนที่กระทำ แล้วต้องชี้แนะเขาด้วยว่าทำไมเขาถึงมีพฤติกรรมแบบนี้ ทำให้ลูกเข้าใจ และเข้าใจคนบูลลี่ และควรอยู่ห่างๆคนพวกนี้ไว้
1.สอนการรู้จักสิทธิของตัวเอง ไม่ให้ใครมาละเมิด และไม่ไปละเมิดเขา
2.ถามสาเหตุของการถูกบูลลี่ และความรุนแรง
3.ให้โซลูชั่นในการรับมือ และวิธีแก้ไข ตั้งแต่ระดับเบาสุด ไปจนถึงหนักสุด
4.หากเกินกำลังที่ลูกจะรับมือได้พ่อแม่จะเข้าไปช่วยเพื่อคลี่คลายปัญหา
เป็นเรื่องที่เจอกันตัวค่ะ ลูกเคยมาเล่าเรื่องให้เราฟัง เรามีสติและให้ลูกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดให้ลูกเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้น พยายามตั้งใจฟังด้วยใจเป็นกลาง ไม่โอนเอียงเข้าข้างลูก เพื่อนที่แกล้งเป็นใคร? ทำไมเค้าถึงเลือกที่จะแกล้งลูก? มีใครอยู่ในเหตุการณ์บ้าง? คุณครูทราบเรื่องหรือไม่? ลูกได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า? พยายามข่มอารมณ์แม้ว่าจะโกรธแค่ไหนก็ตาม เราพ่อแม่ต้องใจเย็น และชมเชยลูกที่พูดปัญหาออกและเราเองแสดงท่าทีและคำพูดที่สื่อว่าพ่อแม่ต้องการช่วยลูกจริงๆ ชี้ให้เห็นปัญหาของเด็กคนนั้น ลูกจะได้ไม่คิดว่าตนเองเป็นสาเหตุ สอนให้ลูกมีความมั่นใจ กล้าปฏิเสธ เช่น เมื่อถูกแกล้งให้บอกเพื่อนว่า ไม่ชอบ หรือไปบอกอาจารย์ว่าถูกแกล้ง หากว่ายังโดนแกล้งต่อเนื่อง สอนลูกให้แยกตัวออกมาจากเพื่อนคนนั้น ไม่สนับสนุนให้แกล้งเพื่อนคืน เราคิดว่าการคุยกับลูกบ่อย ๆ และสังเกตลูกบ่อย ๆ พูดคุยกับลูกบ่อยๆ เราปล่อยให้ลูกเราเจอปัญหา ทนกับปัญหา และพยายามสนับสนุนให้เด็ก ๆ แก้ปัญหาของตัวเองก่อน
จนถึงจุดที่เราต้องยื่นมือเข้าไปช่วย เราถึงเข้าไปคุยกับพ่อแม่ของเด็กที่แกล้งลูก และครู เพื่อหาทางออกร่วมกัน
"วิธีรับมือเมื่อลูกถูกบูลลี่"
อันดับแรกต้องบอกลูกก่อนค่ะ ไม่ว่าเพื่อนจะล้อว่า อ้วน ดำ เตี่ย เราต้องมีสติก่อนว่าเราอ้วน ดำ เตี้ย แบบนี้เราผิดมั้ย ถ้าเราผิดแล้วตำรวจจับ เราค่อยปรับปรุง หาทางแก้ไข ถ้าไม่ผิดเราก็ปล่อยไปค่ะ เพราะการที่เราเป็นแบบนี้เราไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนค่ะ เราจะสอนให้ลูกอย่าไปตอบโต้หรือ
ทะเลาะกันเลย เพราะการที่เราตอบโต้หรือทะเลาะกันก็จะไม่จบ สู้เราเพิกเฉย ทำหูทวนลม ดีกว่า เดี๋ยวคนที่ชอบบูลลี่ก็เบื่อไปเอง เพราะไม่สามารถทำอะไรเราได้ เราจะสอนให้ลูกปรับมุมมองของตัวเอง ไม่นำคำบูลลี่มาคิดให้ปวดหัว เพราะคำบูลลี่เหล่านั้น เราคิดแค่ว่าเป็นการชมก็แล้วกัน เพียงแค่นี้เพื่อนที่เคยบูลลี่ก็จะพ่ายแพ้ไปเองเพราะเรานิ่งเฉยไม่โต้ตอบ ไม่ทำร้าย หรือตีกัน คนเป็นเพื่อนก็จำสำนึกผิดไปเองที่ไม่สามารถทำอะไรเราได้ เพราะเราเข็มแข็งกว่า
"วิธีรับมือลูกถูกบูลลี่" ต้องบอกก่อนเลยค่ะว่าเราเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เลิกรากับสามีแต่ลูกสาวอายุ 3 เดือน ไม่ได้ติดต่อกันอีก ทำงานทุกอย่างที่ได้รายได้เข้ามาจุนเจือ จนลูกเข้าเรียนที่ รร.แห่งหนึ่งชั้นมัธยมต้น เพื่อนในห้องของลูก ถามลูกเราว่า พ่อแกไปไหนอ่ะ
ลูกสาว - พ่อไปไหนอ่ะแม่ เพื่อนบอกว่าหนูเป็นอีลูกกำพร้า หนูเสียใจมาก เขาว่าหนูไม่มีพ่อ 😢
แม่ : พ่อเขาไปทำงานในที่ที่เขาอยู่แล้วมีความสุขที่สุดแล้วค่ะ หนูไม่ต้องคิดมากนะ เห็นไหม ยังมีแม่ มียาย มีน้าสาวคนสวยที่คอยสอนการบ้าน พาหนูไปซื้อขนมอร่อยได้ทุกวัน และรักหนูมากๆนะคะ
ดิฉันเชื่อใจว่าเขาเข้าใจค่ะ ตอนนี้น้องอยู่ ม.4 แล้วเขาคิดเสมอว่าเขาไม่เคยมีปมอะไรทั้งนั้น เขาสนุก มีความสุขตามวัยเขาค่ะ
ตอนลูกเป็นเด็กชั้นอนุบาลและชั้นประถมตน ลูกชายเป็นเด็ก active ช่างคิดช่างสงสัย อยากรู้อยากเห็น อยากลองทำทุกอย่างด้วยตนเอง ไม่งั้นเขาจะไม่เชื่อ เพื่อนๆโดยเฉพาะเด็กผู้หญิงจะไม่ชอบ หาว่าลูกเป็นตัวจุ้นของห้อง ไม่อยากเอาลูกเข้างานกลุ่ม ลูกถูกปฏิเสธจากเพื่อนๆ เราเป็นแม่ไปรับส่งทุกวันรู้เรื่องจากการสังเกต, พูดคุยกับผู้ปกครอง และคุยกับลูก โชคดีลูกเป็นคนเข้มแข็ง เขาไปคุยกับครูเองว่า เขาขอทำงานเดี่ยว ไม่เข้ากลุ่มกับคนอื่นเพราะเขามั่นใจว่าตัวเองทำได้ และรู้ว่าทำงานกลุ่มจะต้องโดนเพื่อนผู้หญิงใช้งานตลอด เข้าไปเหมือนเป็นแรงงาน !!! ความที่ลูกเป็นลูกโทน เล่นคนเดียวสนุกอยู่แล้ว ไม่ติดเพื่อน ไม่เหงา แต่ดิฉันขอนัดคุยกับครูเพื่อขอความร่วมมือจากทางโรงเรียนให้เฝ้าสังเกตและปรับพฤติกรรมเด็กๆในห้อง ให้อยู่ร่วมกันฉันเพื่อน มีความรักสามัคคีกัน ไม่ให้แบ่งกลุ่มแบ่งฝ่าย และสร้างอิทธิพลและอำนาจมาข่มเพื่อนที่ด้อยกว่า อ่อนกว่า และเพื่อนที่ไม่มีกลุ่ม ซึ่งต่อไปเด็กแบบนี้จะสร้างปัญหาในสังคมแบบทุกวันนี้ ส่วนดิฉันก็ได้คุยกับลูกที่บ้านบ่อยๆเรื่องการปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนๆ ให้โอกาสและให้อภัยเพื่อน เพราะเราอยู่คนเดียว ทำงานคนเดียวไม่ได้ เมื่อลูกโตขึ้นกลายเป็นคนทำงานกลุ่มดีมาก มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี เป็นที่รักของอาจารย์ เพื่อนๆ และรุ่นพี่รุ่นน้องเชียวค่ะ
บอกลูกให้ใช้เหตุผล คนทุกคนมีความแตกต่างกัน
ด่าคนที่บลูลี่กลับ ให้รู้ว่าโดนด่าเป็นยังไง