ตรวจครรภ์ก่อนคลอด เป็นการตรวจสุขภาพมารดา สุขภาพครรภ์และสุขภาพทารกระหว่างที่ตั้งครรภ์ เพื่อช่วยให้ทราบถึงภาวะและความปลอดภัยของผู้ที่เป็นแม่และลูกน้อยในครรภ์ โดยคุณหมอจะช่วยตรวจดูพัฒนาการของทารก การเจริญเติบโตของร่างกายและอวัยวะต่าง ๆ ตลอดระยะเวลาของการตั้งครรภ์ก่อนคลอด รวมทั้งภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นกับคุณแม่ หากพบความผิดปกติจะได้แก้ไขหรือหาทางดูแลรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ
[embed-health-tool-due-date]
ตรวจครรภ์ก่อนคลอดสำคัญอย่างไร
การตรวจครรภ์ก่อนคลอด เป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญของการตั้งครรภ์ที่จะช่วยให้คุณแม่และทารกในครรภ์มีสุขภาพดี และลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์หรืออาจเกิดขึ้นขณะคลอด ในทุก ๆ การ ตรวจครรภ์ก่อนคลอด แพทย์จะสามารถรับรู้ถึงความผิดปกติ พัฒนาการ ตลอดจนความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ และเมื่อพบความผิดปกติแพทย์ก็สามารถที่จะหาวิธีรับมือหรือลดความเสี่ยงนั้นได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ การตรวจครรภ์ก่อนคลอดจึงช่วยเพิ่มโอกาสรอดชีวิตของแม่และเด็ก รวมถึงลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนต่อแม่และเด็กได้ด้วย
ตรวจครรภ์ก่อนคลอด ต้องตรวจอะไรบ้าง
การ ตรวจครรภ์ก่อนคลอด มีอยู่ด้วยกันหลายรูปแบบ แต่หลัก ๆ แล้ว มักมีการตรวจคัดกรอง ดังนี้
การตรวจเลือด
การตรวจเลือดเพื่อหาความเสี่ยงของโรคติดเชื้อและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อีกทั้งโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่นโรคโลหิตจางธาลาสซีเมีย
การอัลตร้าซาวด์
การ ตรวจครรภ์ก่อนคลอด ด้วยการอัลตร้าซาวด์ เป็นรูปแบบการตรวจครรภ์ที่น่าจะเป็นที่คุ้นหูมากที่สุดสำหรับคนท้อง กระบวนการอัลตร้าซาวด์นี้มักเกิดขึ้นตั้งแต่สัปดาห์ที่ 18-20 ของการตั้งครรภ์ และแม่ท้องมักจะได้รับการอัลตร้าซาวด์อย่างน้อยไตรมาสละหนึ่งครั้ง เพื่อตรวจดูพัฒนาการของทารก เพศของทารก หรือตรวจดูความผิดปกติของทารกในครรภ์
การตรวจคัดกรองโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
การตรวจคัดกรองโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ เป็นการ ตรวจครรภ์ ที่มักเริ่มตรวจในช่วงสัปดาห์ที่ 24-28 ของการตั้งครรภ์ โดยคุณหมอจะตรวจด้วยวิธีวัดระดับน้ำตาลในเลือด (Glucose challenge screening) เพื่อดูว่ามีแนวโน้มความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์หรือไม่
การตรวจหาติดเชื้อสเตรปโตคอคคัส กรุ๊ปบี
การตรวจนี้มักเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 35-37 ของการตั้งครรภ์ คุณหมอจะทำการตรวจหาแบคทีเรียสเตรปโตคอคคัส กรุ๊ปบี (Group B Streptococcus) ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคปอดบวม และก่อให้เกิดการติดเชื้อชนิดรุนแรงต่อทารกในครรภ์ ในกรณีที่ตรวจพบเชื้อนี้ แพทย์จะนำเชื้อออกจากช่องทวารหนัก เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
การเจาะตรวจน้ำคร่ำ
การเจาะตรวจน้ำคร่ำ (Amniocentesis) มักเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 15-20 ของการตั้งครรภ์ โดยคุณหมอจะเจาะตรวจน้ำคร่ำเพื่อดูว่าทารกในครรภ์มีภาวะความบกพร่องของโครโมโซม เช่น ดาวน์ซินโดรม ภาวะหลอดประสาทไม่ปิด หรือไม่
การตรวจชิ้นเนื้อรก
การตรวจชิ้นเนื้อรก (Chorionic villus sampling หรือ CVS) เป็นกระบวนการ ตรวจครรภ์ ด้วยการตรวจเนื้อเยื่อรกที่มดลูก เพื่อหาความผิดปกติของโครโมโซม ภาวะดาวน์ซินโดรม หรือความผิดปกติของระบบพันธุกรรมอื่น ๆ โดยกระบวนการนี้มักเเกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ 9-13 ของการตั้งครรภ์
ตรวจคัดกรองกลุ่มอาการดาวน์
การตรวจคัดกรองกลุ่มอาการดาวน์ (Nuchal translucency screening) คือ กระบวนการตรวจที่ใช้อัลตราซาวน์เพื่อตรวจดูความหนาบริเวณคอของทารกในครรภ์ มักตรวจในช่วงสัปดาห์ที่ 11-14 ของการตั้งครรภ์ เพื่อตรวจหาความผิดปกติของโครโมโซมที่อาจนำไปสู่อาการดาวน์ซินโดรมในทารกได้
ตรวจอัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์
ในช่วงท้ายของการตั้งครรภ์หรือช่วงก่อนคลอด คุณหมอจะทำการตรวจอัตราการเต้นหัวใจของทารกในครรภ์ เพื่อดูว่าหัวใจของทารกเต้นด้วยอัตราปกติที่ 120-160 ครั้งต่อนาทีหรือไม่ หากอัตราการเต้นหัวใจของทารกผิดปกติ อาจหมายถึงทารกได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ หรือเกิดความผิดปกติที่มดลูก
ตรวจคัดกรองก่อนคลอดอาจแตกต่างกันไปในคุณแม่ตั้งครรภ์แต่ละคน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความเห็นของคุณหมอ อย่างไรก็ตาม คุณแม่ตั้งครรภ์ควรเข้ารับการตรวจครรภ์ก่อนคลอด เพราะหากคุณหมอพบความเสี่ยงหรือความผิดปกติใด ๆ จะได้หาวิธีรับมือที่เหมาะสม เพื่อความปลอดภัยต่อคุณแม่และทารกในครรภ์