การผ่าคลอด คือการผ่าตัดบริเวณหน้าท้องส่วนล่างเพื่อนำทารกออกมาจากท้องคุณแม่ ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งหากคุณแม่ไม่ต้องการหรือไม่สามารถคลอดบุตรแบบธรรมชาติได้ หลังจากผ่าคลอดเสร็จสิ้น คุณแม่ควรดูแล แผลผ่าคลอด ตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัด ด้วยการทำความสะอาดแผลอย่างถูกวิธี และไม่ควรเคลื่อนไหวร่างกายมากเพราะอาจส่งผลให้แผลเปิด เสี่ยงการติดเชื้อได้ง่าย
[embed-health-tool-due-date]
ลักษณะของแผลผ่าคลอด
แผลผ่าคลอด มีลักษณะเป็นรอยแผลยาวแนวนอนบริเวณหน้าท้องส่วนล่าง หรือแนวตั้งจากสะดือถึงหน้าท้องส่วนล่าง ซึ่งอาจมีความยาวประมาณ 10-20 เซนติเมตร สาเหตุที่คุณหมอจำเป็นต้องกรีดแผลยาวเพื่อจะได้นำทารกออกจากท้องคุณแม่ได้ง่ายขึ้น แผลผ่าคลอดอาจใช้เวลาประมาณ 6-10 สัปดาห์กว่าจะหาย หรือในบางกรณีอาจนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับว่าดูแลและทำความสะอาดแผลได้ถูกต้องตามคำแนะนำของคุณหมอหรือไม่ แผลผ่าคลอดถือเป็นแผลผ่าตัดขนาดใหญ่ที่อาจเสี่ยงติดเชื้อได้ง่าย คุณแม่จึงควรสังเกตอาการผิดปกติเป็นประจำ หากแผลแย่ลงหรือมีอาการอื่น ๆ ควรรีบเข้าพบคุณหมอทันที
ภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าคลอด
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้หลังผ่าคลอด อาจมีดังนี้
- เลือดออกจากช่องคลอด เป็นภาวะปกติที่อาจมีเลือดออกบริเวณมดลูก ควรใช้ผ้าอนามัยเพื่อป้องกันเลือดซึมเปื้อนเสื้อผ้า และควรหลีกเลี่ยงการใส่ผ้าอนามัยแบบสอดในช่วง 6 สัปดาห์แรกหลังคลอด เพราะอาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อ กรณีที่มีเลือดออกรุนแรงอาจจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อทำให้เลือดหยุดไหล
- การติดเชื้อ การติดเชื้อทั่วไปอาจส่งผลให้คุณแม่เกิดอาการเจ็บปวด แผลบวม มีรอยแดง และมีหนองไหล แต่หากเกิดการติดเชื้อในเยื่อบุมดลูก อาจมีไข้ขึ้น ปวดท้อง มีตกขาวและเลือดออกทางช่องคลอด แต่ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อแบบใดก็ควรรับการตรวจจากคุณหมอทันที เพราะอาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงขึ้นได้
- อาการปวด คุณแม่อาจรู้สึกปวดบริเวณแผลผ่าคลอด โดยเฉพาะเมื่อแผลได้รับแรงสั่นสะเทือนจากการหัวเราะ การไอ เป็นต้น
- ลิ่มเลือดอุดตัน เป็นอาการที่พบได้ยาก แต่อาจส่งผลให้คุณแม่บางคนมีลิ่มเลือดอุดตันบริเวณขาจนทำให้ขาปวดบวม หากปล่อยไว้นาน ลิ่มเลือดอาจไหลไปที่ปอด และก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของคุณแม่ได้
- อันตรายต่อกระเพาะปัสสาวะ เป็นภาวะที่เกิดขึ้นได้ยาก แต่หากเป็นแล้ว อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด
การผ่าคลอดอาจส่งผลกระทบต่อทารกได้ ดังนี้
- แผลบนผิวหนัง อาจเกิดขึ้นหลังจากมดลูกถูกเปิดออก เป็นภาวะทั่วไปที่ไม่เป็นอันตรายและสามารถหายเองได้
- หายใจลำบาก ส่วนใหญ่พบในทารกที่คุณหมอจำเป็นต้องผ่าคลอดก่อนครบอายุครรภ์ 39 สัปดาห์ โดยปกติทารกอาจมีอาการดีขึ้น 2-3 วันหลังคลอด
นอกจากนี้ การผ่าคลอดอาจส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ในอนาคต เพราะอาจส่งผลให้รกเกาะผนังมดลูกแบบผิดปกติ รอยแผลเป็นเก่าในมดลูกเปิดออก และเสี่ยงคลอดก่อนกำหนด หากคุณแม่วางแผนตั้งครรภ์ครั้งถัดไป ควรปรึกษาคุณหมอและปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัด เพื่อช่วยลดความเสี่ยงดังกล่าว
อาการที่ควรรีบเข้าพบคุณหมอทันที
หากมีอาการเหล่านี้ อาจเป็นสัญญาณว่าแผลผ่าคลอดติดเชื้อ ซึ่งต้องรีบเข้ารับการรักษาทันที
- เจ็บแผลอย่างรุนแรง
- มีไข้สูง หายใจถี่ ไอ
- มีตกขาว และมีเลือดออกทางช่องคลอด
- แผลผ่าคลอดบวมแดง
- ปากแผลปริ
- มีหนองหรือของเหลวกลิ่นเหม็นไหลออกจากแผล
- ขาส่วนล่าง (เข่าจนถึงข้อเท้า) ปวดบวม
- ปัสสาวะเล็ด
- เต้านมข้างใดข้างหนึ่งบวม แดง
การดูแลแผลผ่าคลอด
การดูแลแผลผ่าคลอด อาจทำได้ดังนี้
- การดูแลแผลผ่าคลอดขณะอยู่ในโรงพยาบาล บุคลากรทางการแพทย์อาจดูแลเพื่อป้องกันการติดเชื้อ ด้วยวิธีการต่อไปนี้
- กำจัดขนบริเวณที่ต้องการผ่าคลอดด้วยอุปกรณ์ปลอดเชื้อ
- ให้ผู้เข้ารับการผ่าตัดรับประทานยาปฏิชีวนะก่อนเริ่มผ่าตัด
- ล้างมือก่อนดำเนินการผ่าตัดและก่อนดูแลแผลผ่าคลอดให้ผู้ป่วย
- ให้คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีดูแลแผลผ่าตัดเองที่บ้านอย่างถูกต้อง
- การดูแลแผลผ่าคลอดด้วยตัวเอง เมื่อคุณหมออนุญาตให้กลับบ้านได้ คุณแม่อาจจำเป็นต้องดูแลแผลผ่าคลอดตามคำแนะนำของคุณหมอจนกว่าแผลจะหายดี ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
- ล้างมือทุกครั้งทั้งก่อนและหลังสัมผัสบาดแผล
- อาบน้ำโดยปล่อยให้น้ำไหลผ่านแผล ไม่ควรถูสบู่ หรือโรยแป้งบริเวณแผลโดยตรง
- ซับแผลให้แห้งหลังอาบน้ำ และทายาปฏิชีวนะที่คุณหมอแนะนำ จากนั้นปิดแผลด้วยผ้าก๊อซพันแผล และควรเปลี่ยนผ้าก๊อซวันละครั้ง ป้องกันสิ่งสกปรกสะสม
- สวมเสื้อผ้าสบาย ๆ ระบายอากาศได้ดี และไม่รัดแผล
- รับประทานยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) เมื่อรู้สึกเจ็บหรือปวดแผลผ่าคลอด
- ไม่ควรยกของหนัก ออกกำลังกาย หรือเดินมากเกินไปในช่วง 6-8 สัปดาห์แรกหลังผ่าคลอด
- ฝึกเดินในระยะสั้น ๆ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและประสิทธิภาพในการเคลื่อนไหวร่างกาย
- คาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้งเมื่อขับหรือโดยสารรถยนต์ ทางที่ดีไม่ควรขับรถเลยอย่างน้อยในช่วง 2 สัปดาห์แรก และไม่ควรรับประทานยาแก้ปวดก่อนขับรถ เพราะอาจทำให้ง่วงนอนและเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ