โรคคางทูม โรคหัด และโรคหัดเยอรมัน เป็นโรคจากการติดเชื้อไวรัสที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และอาจพบได้บ่อยในเด็ก เด็กจึงควรได้รับ วัคซีนโรคคางทูม หัด หัดเยอรมัน (Measles Mumps and Rubella vaccine: MMR vaccine) 2 ครั้ง เพื่อป้องกันการเกิดโรคเหล่านี้ โดย วัคซีน หัด คางทูม หัดเยอรมัน ผลข้างเคียง ที่พบได้บ่อย คือ เป็นไข้ มีผื่น และอาการปวดบริเวณที่ฉีด ซึ่งเป็นอาการที่ไม่รุนแรงและอาจหายไปได้เอง อย่างไรก็ตาม หากสังเกตพบอาการผิดปกติควรเข้าพบคุณหมอเพื่อทำการรักษาในทันที
[embed-health-tool-vaccination-tool]
วัคซีนโรคคางทูม หัด หัดเยอรมัน
ลูกน้อยต้องได้รับการฉีด วัคซีนโรคคางทูม หัด หัดเยอรมันเข็มแรกเมื่ออายุ 12-15 เดือน และเข็มที่ 2 เมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 4-6 ปี เพื่อป้องกันโรคที่สำคัญ 3 โรค ซึ่งได้แก่ โรคคางทูม โรคหัด และโรคหัดเยอรมัน โดยแต่ละโรคมีลักษณะอาการ ดังต่อไปนี้
- โรคคางทูม (Mumps) เกิดจากเชื้อไวรัสคางทูม สาเหตุเกิดจากการสัมผัสโดยตรงทางระบบการหายใจ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการไข้ ปวดศีรษะ มีอาการเบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามร่างกาย
- โรคหัด (Measles) เกิดจจากเชื้อไวรัสหัด สาเหตุเกิดจากละอองการหายใจ การจาม ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการไข้และไข้ออกผื่น อาการไอ
- โรคหัดเยอรมัน (German Measles) เกิดจากเชื้อไวรัสหัดเยอรมัน สาเหตุเกิดจากการหายใจ การจาม และการสัมผัสโดยตรง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต และมีอาการไข้ออกผื่น
วัคซีน หัด คางทูม หัดเยอรมัน ผลข้างเคียง
- เป็นไข้
- มีผดผื่น
- ปวดบริเวณที่ฉีดยา หรือปวดแขนข้างที่ฉีดยา
- มีอาการปวดข้อต่อ โดยเฉพาะผู้ที่เคยได้รับการฉีดวัคซีนชนิดนี้มาแล้ว
ในกรณีหายาก บางคนอาจมีอาการเกล็ดเลือดต่ำ ซึ่งหายไปได้เองโดยไม่ต้องทำการรักษา อย่างไรก็ตาม หากมีอาการแพ้อย่างรุนแรง ควรเข้าพบคุณหมอเพื่อทำการรักษาในทันที
บุคคลที่ควรได้รับการฉีดวัคซีน คางทูม หัด หัดเยอรมัน
บุคคลที่ควรได้รับการฉีดวัคซีน คางทูม หัด หัดเยอรมัน มีดังต่อไปนี้
- เด็กอายุ 12-15 เดือน (ต้องได้รับการฉีดเข็มแรก)
- เด็กอายุ 4-6 ขวบ (ต้องได้รับการฉีดเข็มที่สอง)
- ผู้ใหญ่ที่อายุ 18 ปีขึ้นไปหากไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนมาก่อน ควรฉีด 2 เข็ม ห่างกันอย่างน้อย 28 วัน
บุคคลที่ควรงดการฉีดวัคซีนโรคคางทูม หัด หัดเยอรมัน
บุคคลที่ควรงดการฉีดวัคซีน คางทูม หัด หัดเยอรมัน มีดังต่อไปนี้
- มีประวัติแพ้อย่างรุนแรงหลังจากฉีดวัคซีนป้องกัน คางทูม หัด หัดเยอรมัน
- อยู่ในช่วงตั้งครรภ์
- มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น โรคเอดส์ (Acquired Immunodeficiency Syndrome : AIDS) ติดเชื้อเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus : HIV)
- รับประทานยาที่มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย เช่น ยากลุ่มสเตียรอยด์
- ได้รับวัคซีนอื่น ๆ ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา