backup og meta
สำรวจ
เครื่องมือตรวจเช็กสุขภาพ
ถามคุณหมอ
บันทึก
สารบัญ

เอสตราดิออล (Estradiol)

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย เภสัชกรอาชานนท์ สมศักดิ์ · ยาและอาหารเสริม · Hello Health Group


เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล · แก้ไขล่าสุด 11/05/2020

เอสตราดิออล (Estradiol)

ข้อบ่งใช้

ยา เอสตราดิออล ใช้สำหรับ

ยาเอสตราดิออล (Estradiol) คือ ฮอร์โมนเพศหญิง ผู้หญิงจะใช้เพื่อช่วยลดอาการของวัยหมดประจำเดือน (menopause) เช่น อาการร้อนวูบวาบ ช่องคลอดแห้ง อาการเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะร่างกายผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) น้อยลง หากคุณใช้ยาเอสตราดิออล เพื่อรักษาอาการแค่ช่วงบริเวณของช่องคลอดเท่านั้น ให้เลือกใช้ยาทายาด้านในช่องคลอดก่อนใช้ยาแบบรับประทาน แบบดูดซึมผ่านผิวหนัง หรือการฉีดยา

ผู้หญิงอาจใช้ผลิตภัณฑ์ฮอร์โมนเอสโตรเจนบางชนิดหลังจากช่วงวัยหมดประจำเดือน เพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุน (osteoporosis) แต่ควรพิจารณาใช้ยาอื่น เช่น ราโลซิฟีน (raloxifene) หรือยากลุ่มไบฟอสโฟเนตส์ (bisphosphonates) อย่างอะเลนโดรเนท (alendronate) ที่สามารถช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้เช่นกัน และอาจมีความปลอดภัยมากกว่า ก่อนการรักษาด้วยเอสโตรเจน

นอกจากนี้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ยังอาจใช้ผลิตภัณฑ์ฮอร์โมนเอสโตรเจนบางชนิดเพื่อรักษาโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งต่อมลูกหมากบางชนิด (prostate cancer) มะเร็งเต้านมที่แพร่กระจายไปยังส่วนอื่นในร่างกาย และยังอาจใช้ในผู้หญิงที่ไม่สามารถผลิตเอสโตรเจนได้อย่างเพียงพอ เช่น เนื่องจากภาวะฮอร์โมนเพศต่ำ (hypogonadism) หรือภาวะรังไข่หยุดทำงานก่อนกำหนด (primary ovarian failure)

วิธีการใช้ยา เอสตราดิออล

รับประทานยาเอสตราดิออลพร้อมกับอาหาร หรือรับประทานอาหารแยกต่างหาก ตามที่แพทย์กำหนด คุณสามารถรับประทานยาพร้อมกับอาหาร หรือตามหลังมื้ออาหารทันที เพื่อป้องกันอาการท้องไส้ปั่นป่วน

หากคุณใช้ยาในรูปแบบออกฤทธิ์นาน อย่าบด เคี้ยว หรือละลายยา เพื่อจะทำให้ยาออกฤทธิ์ทั้งหมดมาในคราวเดียว และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง และไม่ควรแบ่งยาแบบออกฤทธิ์นาน นอกเสียจากจะมีเส้นแบ่งเม็ดยา และแพทย์หรือเภสัชกรสั่งให้ทำ กลืนยาลงไปทั้งเม็ด หรือเม็ดที่แบ่งแล้วโดยไม่ต้องบดหรือเคี้ยวยา

ขนาดยาขึ้นอยู่กับสภาวะทางการแพทย์และการตอบสนองต่อการรักษา

รับประทานยาเอสตราดิออลเป็นประจำ เพื่อให้ได้ประโยชน์จากยาสูงสุด เพื่อให้ง่ายต่อการจำ ควรรับประทานยาในเวลาเดียวกันทุกวันตามที่กำหนด ทำตามตารางการใช้ยาอย่างเคร่งครัด อย่าเพิ่มขนาดยา ใช้ยาบ่อยกว่า หรือใช้ยานานกว่าที่กำหนด

แจ้งให้แพทย์ทราบหากอาการของคุณไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง

การเก็บรักษายาเอสตราดิออล

ยาเอสตราดิออลควรเก็บที่อุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงแสงหรือความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเกิดความเสียหาย ไม่ควรเก็บยานี้ในห้องน้ำหรือช่องแช่แข็ง ยาเอสตราดิออลบางยี่ห้ออาจจะต้องเก็บรักษาแตกต่างกัน จึงควรตรวจสอบฉลากยาหรือสอบถามเภสัชกรเสมอ เพื่อความปลอดภัย โปรดเก็บยาให้ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง

ไม่ควรทิ้งยาเอสตราดิออลลงในชักโครก หรือเทยาลงในท่อระบายน้ำ เว้นเสียแต่จะได้รับคำแนะนำให้ทำ ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูกต้องเมื่อยาหมดอายุ หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้งาน โปรดสอบถามเภสัชกรเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการกำจัดยาที่ถูกต้อง

ข้อควรระวังและคำเตือน

ข้อควรรู้ก่อนใช้ยา เอสตราดิออล

ก่อนใช้ยาเอสตราดิออล

  • แจ้งให้แพทย์และเภสัชกรทราบ หากคุณแพ้ต่อยาเอสตราดิออลแบบรับประทานยี่ห้อใด แพ้ต่อผลิตภัณฑ์เอสโตรเจนอื่นๆ แพ้ต่อยาอื่นๆ หรือส่วนประกอบใดๆ ในยาเม็ดเอสตราดิออล หากคุณต้องใช้ยาเอสตราดิออล แจ้งให้แพทย์และเภสัชกรทราบ หากคุณแพ้ต่อยาแอสไพรินหรือทาร์ทราซีน (tartrazine) ซึ่งเป็นสารเติมแต่งสีอาหาร สอบถามเภสัชกรหรือตรวจสอบข้อมูลสำหรับผู้ป่วยจากผู้ผลิต ถึงรายชื่อของสารไม่ออกฤทธิ์ในยาเอสตราดิออลยี่ห้อที่คุณตั้งใจจะใช้
  • แจ้งให้แพทย์และเภสัชกรทราบ เกี่ยวกับยาที่คุณกำลังใช้ หรือตั้งใจจะใช้ ทั้งยาตามใบสั่งยา ยาที่หาซื้อเอง วิตามิน อาหารเสริม และสมุนไพร โดยเฉพาะยาอะมิโอดาโรน (amiodarone) อย่าง คอร์ดาโรน (cordarone) หรือพาเซโรน (pacerone) ยาต้านเชื้อราบางชนิด ยาอะเพรบพิแทนท์ (Aprepitant) อย่าง อีเมนด์ (emend) ยาคาร์บามาเซพีน (Carbamazepine) อย่าง คาร์พาทรอล (carbatrol) หรือเอพิทอล (epitol) หรือเทเกรทอล (tegretol) ยาไซเมทิดีน (Cimetidine) อย่าง ทากาเมต (tagamet) ยาคลาริโทรมัยซิน (clarithromycin) อย่าง ไบอาซิน (biaxin) ยาไซโคลสปอริน (cyclosporine) อย่าง นีโอรอล (neoral) หรือแซนดิมมูน (sandimmune) ยาเดกซาเมทาโซน (dexamethasone) อย่าง เดคาดรอน (decadron) หรือเดกซ์แพค (dexpak) ยาดิลไทอะเซม (Diltiazem) อย่าง คาร์ดิเซม (cardizem) หรือดิลาคอร์ (dilacor) หรือไทอาแซค (tiazac) และอื่นๆ ยาอิริโทรมัยซิน (erythromycin) เช่น อิริโทรซิน (erythrocin) ยาฟลูออกซิทีน (Fluoxetine) อย่าง โพรแซค (prozac) หรือซาราเฟม (sarafem) ยาฟลูวอกซามีน (Fluvoxamine) อย่าง ลูวอกซ์ (luvox) ยากริซีโอฟุลวิน (Griseofulvin) อย่าง ฟูลไวซิน (fulvicin) หรือกริฟูลวิน (grifulvin) หรือกริสเพก (gris-peg) ยาโลวาสแตติน (lovastatin) อย่าง อัลโทคอร์ (altocor) หรือเมวาคอร์ (mevacor) ยาสำหรับโรคเอชไอวี (hiv) หรือโรคเอดส์ (aids) ยาสำหรับโรคไทรอยด์ ยาเนฟาโซโดน (nefazodone) ยาฟีโนบาร์บิทัล (phenobarbital) ยาเฟนิโทอิน (phenytoin) อย่าง ดิแลนทิน (dilantin) หรือเฟนีเทก (phenytek) ยาไรฟาบิวติน (Rifabutin) อย่าง ไมโคบูทิน (mycobutin) ยาไรแฟมพิน (rifampin) อย่าง ไรฟาดิน (rifadin) หรือไรแมคเทน (rimactane) ในไรฟาเมต (rifamate) ยาเซอร์ทราลีน (sertraline) อย่าง โซลอฟ (zoloft) ยาโทรลีแอนโดมัยซิน (troleandomycin) อย่าง เทา (tao) ยาเวอราปามิล (Verapamil) อย่าง คาแลน (calan) หรือโคเวรา (covera) หรือไอโซปทิน (isoptin) หรือเวราแลน (verelan) และยาซาฟิรลูคาสท์ (Zafirlukast) อย่าง แอคโคเลต (accolate) แพทย์อาจต้องเปลี่ยนขนาดยา หรือเฝ้าระวังผลข้างเคียงอย่างใกล้ชิด
  • แจ้งให้แพทย์ทราบหากคุณกำลังใช้สมุนไพร โดยเฉพาะสมุนไพรเซนต์จอห์น  เวิร์ต (st. John’s wort)
  • แจ้งให้แพทย์ทราบ หากคุณเคยมีอาการผิวหนังหรือดวงตาเป็นสีเหลือง ขณะตั้งครรภ์ หรือการรักษาด้วยผลิตภัณฑ์เอสโตรเจน เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) เนื้องอกมดลูก (uterine fibroids) โรคหอบหืด ปวดหัวไมเกรน อาการชัก พอร์ฟิเรีย (Porphyria) ซึ่งเป็นอาการที่มีสารสะสมอยู่ในเลือดอย่างผิดปกติ และทำให้เกิดปัญหากับผิวหนังหรือระบบประสาท แคลเซียมในเลือดสูงหรือต่ำเกินไป โรคไทรอยด์ โรคตับ โรคไต โรคถุงน้ำดี หรือโรคตับอ่อน
  • แจ้งให้แพทย์ทราบ หากคุณตั้งครรภ์ มีแผนที่จะตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร หากคุณตั้งครรภ์ขณะใช้ยาเอสตราดิออล ให้ติดต่อแพทย์ทันที
  • ปรึกษากับแพทย์ เกี่ยวกับความเสี่ยงและประโยชน์ในการใช้เอสโตรเจนหากคุณมีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป ผู้สูงอายุไม่ควรรับประทานเอสโตรเจน นอกจากจะกำลังรับฮอร์โมนอื่นร่วมด้วย การรับประทานเอสโตรเจนโดยไม่มีฮอร์โมนอื่นร่วมด้วยนั้น ไม่ปลอดภัย หรือมีประสิทธิภาพเทียบกับยาอื่น ที่สามารถรักษาสภาวะเดียวกันได้
  • หากคุณรับประทานยาเอสตราดิออล เพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุน ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีอื่นที่จะช่วงป้องกันโรคนี้ได้ เช่น การออกกำลังกาย รับประทานวิตามินดี และ/หรือรับประทานอาหารเสริมแคลเซียม

ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร

ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือ เกี่ยวกับความเสี่ยงในสตรีที่ใช้ยานี้ ในช่วงการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อหาประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยานี้

ยาเอสตราดิออลจัดอยู่ในประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อสตรีมีครรภ์ หมวด X โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)

การจัดประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อสตรีมีครรภ์โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกามีดังนี้

  • A= ไม่มีความเสี่ยง
  • B= ไม่พบความเสี่ยงในการวิจัยบางชิ้น
  • C= อาจจะมีความเสี่ยง
  • D= มีหลักฐานแสดงถึงความเสี่ยง
  • X= ห้ามใช้
  • N= ไม่ทราบแน่ชัด

ผลข้างเคียง

ผลข้างเคียงของการใช้ยา เอสตราดิออล

รับการรักษาพยาบาลฉุกเฉินทันทีหากคุณมีสัญญาณของอาการแพ้ ได้แก่ ลมพิษ หายใจติดขัด บวมที่ใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น หรือลำคอ

หยุดใช้ยาเอสตราดิออล และติดต่อกพทย์ในทันที หากคุณมีผลข้างเคียงที่รุนแรงดังต่อไปนี้

  • อาการเลือดออกผิดปกติที่ช่องคลอด (โดยเฉพาะช่วงหลังวัยหมดประจำเดือน)
  • อาการปวดหน้าอกหรือรู้สึกหนัก อาการปวดที่แพร่กระจายไปยังแขนหรือไหล่ คลื่นไส้ เหงื่อออก รู้สึกป่วยทั่วๆ ไป
  • มีอาการชาหรืออ่อนแรงกะทันหัน โดยเฉพาะที่ด้านหนึ่งของร่างกาย
  • มีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงฉับพลัน สับสน มีปัญหากับการมองเห็น การพูด หรือการทรงตัว
  • ปวดหน้าอกแบบเสียดแทง ไอกะทันหัน หายใจมีเสียงหวีด หายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็ว
  • มีอาการปวด บวม หรือรอยแดงที่ขาข้างในข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง
  • คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร หกระหายน้ำมากขึ้น กล้ามเนื้ออ่อนแรง สับสน และรู้สึกเหนื่อยหรือกระสับกระส่าย
  • มีก้อนในเต้านม
  • รู้สึกเหมือนจะหมดสติ
  • มีอาการปวด บวม หรือกดเจ็บที่ในกระเพาะอาหาร
  • ดีซ่าน (ผิวหนังหรือดวงตาเป้นสีเหลือง)

ผลข้างเคียงที่รุนแรงน้อยกว่ามีดังนี้ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด ปวดท้องในระดับน้อย ที่เต้านมมีอาการปวด กดเจ็บ หรือบวม หน้าตกกระหรือคล้ำขึ้น ผมร่วง มีอาการคันหรือสารคัดหลั่งที่ช่องคลอด รอบการมีประจำเดือนเปลี่ยนแปลง ภาวะเลือดออกจากช่องคลอดมากผิดปกติ (breakthrough bleeding)

ไม่ใช่ทุกคนจะเจอกับผลข้างเคียงเหล่านี้ และอาจจะมีอาการอย่างอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าคุณมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร

ปฏิกิริยาของยา

ปฏิกิริยากับยาอื่น

ยาเอสตราดิออลอาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น คุณควรจะบอกแพทย์หรือเภสัชกรของคุณว่า คุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง (ทั้งยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง และสมุนไพรต่างๆ) เพื่อความปลอดภัย โปรดอย่าเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยาโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์

โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาเจือจางเลือด เช่น ยาวาฟาริน (warfarin) อย่าง คูมาดิน (Coumadin) ยาไซเมทิดีน (cimetidine) อย่าง ทากาเมต (Tagamet) ยาคาร์บามาเซพีน (Carbamazepine) อย่าง คาร์บาทรอล (Carbatrol) หรือเทเกรทอล (Tegretol) ยาฟีโนบาร์บิทัล (phenobarbital) อย่าง ลูมินอล (Luminal) หรือซอลโฟทอน (Solfoton) ยาเฟนิโทอิน (phenytoin) อย่าง ดิลแลนทิน (Dilantin) ยาไรแฟมพิน (rifampin) อย่าง ไรฟาดิน (Rifadin) ไรฟาเทอร์ (Rifater) ไรฟาเมต (Rifamate) หรือไรแมคเทน (Rimactane) ยาริโทนาเวียร์ (ritonavir) อย่าง นอร์เวียร์ (Norvir) สมุนไพรเซนต์จอห์น (St. John’s wort) ยาปฏิชีวนะ เช่น ยาคลาริโทรมัยซิน (clarithromycin) อย่าง ไบอาซิน (Biaxin) หรือยาอิริโทรมัยซิน (erythromycin) อย่าง อีมัยซิน (E-Mycin) อีอีเอส (E.E.S.) อิริโทรซิน (Erythrocin) อิริแท็บ (Ery-Tab) หรือยาต้านเชื้อราเอสตราดิออล เช่น ยาคีโตโคนาโซล (Ketoconazole) อย่างเอกซ์ทินา (Extina) คีโตโซน (Ketozole) ไนโซรอล (Nizoral) โซเลกอล (Xolegal)

รายชื่อนี้ไม่ใช่รายชื่อทั้งหมด และยังมียาอื่นที่อาจมีปฏิกิริยากับยาเอสตราดิออลได้ แจ้งให้แพทย์ทราบถึงยาทั้งหมดที่คุณใช้ ทั้งยาตามใยสั่งยา ยาที่หาซื้อเอง วิตามิน และสมุนไพรต่างๆ อย่างเริ่มใช้ยาใหม่โดยไม่แจ้งให้แพทย์ทราบ

ปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์

ยาเอสตราดิออลอาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ

ปฏิกิริยากับอาการโรคอื่น

ยาเอสตราดิออลอาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาเสมอ

สภาวะบางอย่างอาจส่งผลกระทบต่อการใช้ยานี้ได้ แจ้งให้แพทย์ทราบหากคุณมีสภาวะดังต่อไปนี้

  • มีอาการเลือดออกจากช่องคลอดอย่างผิดปกติ
  • มีอาการหรือเคยเป็นลิ่มเลือด เช่น ภาวะหลอดเลือดดำอุดตัน (deep vein thrombosis) โรคลิ่มเลือดอุดกั้นในปอด (Pulmonary Embolism)
  • มะเร็งเต้านม ทราบว่าเป็นโรค สงสัยว่าจะเป็นโรค หรือเคยเป็นโรคนี้
  • หัวใจขาดเลือดฉับพลัน มีอาการหรือพึ่งเป็น (ภายใน 12 เดือนที่ผ่านมา)
  • โรคตับ
  • ภาวะขาดโปรตีนซี (Protein C deficiency) หรือโปรตีนเอส (protein S deficiency) หรือทราบว่าเป็นโรคลิ่มเลือดอื่นๆ
  • โรคหลอดเลือดสมอง มีอาการหรือพึ่งเป็น (ภายใน 12 เดือนที่ผ่านมา)
  • การผ่าตัดที่ต้องอยู่นิ่งๆ เป็นเวลานาน
  • เนื้องอก แบบขึ้นกับฮอร์โมนเอสโตรเจน (estrogen-dependent) ทราบว่าเป็นโรคหรือสงสัยว่าจะเป็นโรค —ไม่ควรใช้ยานี้ในผู้ป่วยโรคนี้
  • โรคหอบหืด
  • เคยเป็นโรคมะเร็ง
  • โรคเบาหวาน
  • บวมน้ำ (Edema)
  • เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis)
  • โรคลมชัก (Epilepsy)
  • โรคถุงน้ำดี
  • โรคหัวใจ
  • การบวมใต้ชั้นผิวหนังที่ถ่ายถอดทางพันธุ์กรรม (Hereditary angioedema) อาการบวมที่ใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น หรือลำคอ
  • ภาวะแคลเซียมในเลือดสูง (Hypercalcemia)
  • ภาวะความดันโลหิตสูง (Hypertension)
  • ภาวะไขมันในเลือดสูง (Hypertriglyceridemia)
  • ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ (Hypocalcemia) ขั้นรุนแรง
  • ภาวะขาดไทรอยด์ (Hypothyroidism)
  • โรคดีซ่านขณะตั้งครรภ์ หรือเนื่องจากการบำบัดด้วยฮอร์โมนในอดีต
  • เนื้องอกตับ
  • ปวดหัวไมเกรน
  • พอร์ฟิเรีย (Porphyria)
  • โรคแพ้ภูมิตัวเอง (Systemic lupus erythematosus) — ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง อาจทำให้อาการแย่ลงได้

ขนาดยา

ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม

ขนาดยา เอสตราดิออล สำหรับผู้ใหญ่

รับประทาน:

  • มะเร็งต่อมลูกหมาก : รูปแบบขึ้นอยู่กับเอสโตรเจน โรคมะเร็งที่ผ่าตัดไม่ได้ (inoperable) และรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ (progressing) : 10 มก. วันละ 3 ครั้ง รับประทานวันละ 2 ครั้งในช่วง 3 เดือนสุดท้าย
  • อาการ vasomotor symptoms ระดับปานกลางถึงรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับวัยหมดประจำเดือน : ผู้ใหญ่ : 1-2 มก./วัน ปรับขนาดยาตามความจำเป็น สามารถให้ยาเป็นรอบได้ (ใช้ยา 3 สัปดาห์ เว้นพัก 1 สัปดาห์) หรือใช้ยาอย่างต่อเนื่อง ใช้ร่วมกับโปรเจสเตอโรน (Progesterone) ในผู้หญิงที่มีมดลูก
  • เพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุนในผู้หญิงวัยหลังหมดประจำเดือน : ผู้ใหญ่ : 5 มก./วัน โดยให้ยาเป็นรอบ (ใช้ยา 23 วันและเว้นพัก 5 วัน)
  • ภาวะฮอร์โมนเพศต่ำ : ผู้ใหญ่ : 1-2 มก./วัน โดยให้ยาเป็นรอบใช้ยา 3 สัปดาห์ เว้นพัก 1 สัปดาห์

ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ:

  • มะเร็งต่อมลูกหมาก : วาเลอเรต (valerate) : มากกว่าหรือเท่ากับ 30 มก. ทุกๆ 1-2 สัปดาห์
  • อาการปรับขนาดหลอดเลือดระดับปานกลางถึงรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับวัยหมดประจำเดือน : ไซไพโอเนต (cypionate) : 1-5 มก. ทุกๆ 3-4 สัปดาห์ ใช้เป็นวาเลอเรต: 10-20 มก. ทุกๆ 4 สัปดาห์ ใช้ร่วมกับโปรเจสเตอโรนในผู้หญิงที่มีมดลูก
  • ภาวะฮอร์โมนเพศต่ำ : ใช้เป็นวาเลอเรต : 10-20 มก. ทุกๆ 4 สัปดาห์ ใช้ไซไพโอเนต (cypionate) : 1.5-2 มก. ทุกๆ เดือน

ซึมผ่านผิวหนัง:

  • อาการปรับขนาดหลอดเลือดระดับปานกลางถึงรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับวัยหมดประจำเดือน : แผ่นแปะยาทุกแผ่นจะมียาในขนาด 0.025 มก./วัน : ในช่วงเริ่มต้นให้ใช้สัปดาห์ละครั้ง ปรับขนาดยาตามความจำเป็นเพื่อควบคุมอาการ พยายามลดหรือหยุดการรักษาในช่วง 3-6 เดือน ใช้ร่วมกับโปรเจสเตอโรนในผู้หญิงที่มีมดลูก
  • เพื่อป้องกันโรคกระดูกพรุนในผู้หญิงวัยหลังหมดประจำเดือน : แผ่นแปะยาทุกแผ่นจะมียาในขนาด 14 ไมโครกรัม/วัน ใช้สัปดาห์ละครั้งหรือสองครั้ง ปรับขนาดยาโดยเฝ้าสังเกตเครื่องหมายทางชีวเคมี (biochemical markers) และความหนาแน่นของกระดูก จำเป็นต้องมีรอบการใช้ใช้โปรเจสเตอโรน 14 วัน สำหรับผู้หญิงที่มีมดลูกครบถ้วนหนึ่งครั้งทุกๆ 6-12 เดือน

ให้ยาทางช่องคลอด :

  • ภาวะช่องคลอดแห้ง (Vulvular and vaginal atrophy) : สอดยา 2-4 กรัม/วัน เข้าในช่องคลอดเป็นเวลา 2 สัปดาห์ แล้วค่อยๆ ลดขนาดยาลงมาครึ่งหนึ่งของขนาดยาเริ่มต้นเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ตามด้วยขนาดยาปกติที่ 1 กรัม 1-3 ครั้ง/สัปดาห์
  • ภาวะช่องคลอดแห้งหลังวัยหมดประจำเดือน : สอดวงแหวน สอดช่องคลอดที่มียาเอสตราดิออล 2 มก. ทิ้งไว้ 90 วัน
  • อาการทางช่องคลอดและระบบปัสสาวะ (Urogenital symptoms) : สอดวงแหวน สอดช่องคลอดที่มียาเอสตราดิออล 2 มก. ทิ้งไว้ 90 วัน
  • ภาวะช่องคลอดอักเสบจากการขาดฮอร์โมนเพศหญิง (Atrophic vaginitis) : ขนาดยาเริ่มต้น : สอดยา 1 เม็ด (20 ไมโครกรัม) วันละครั้งเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ขนาดยาปกติ: สอดยา 1 เม็ดสัปดาห์ละ 2 ครั้ง พยายามลดหรือหยุดการรักษาในช่วง 3-6 เดือน

ขนาดยาเอสตราดิออลสำหรับเด็ก

ยังไม่มีการพิสูจน์ความความปลอดภัยและประสิทธิภาพของขนาดยานี้สำหรับผู้ป่วยเด็ก ยานี้อาจเป็นอันตรายต่อเด็กได้ ดังนั้น จึงควรทำความเข้าใจกับความปลอดภัยของยาก่อนการใช้ยา สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดติดต่อกับแพทย์หรือเภสัชกร

รูปแบบของยา

ความแรงและรูปแบบของยามีดังนี้ :

ยาเม็ดสำหรับรับประทาน : 0.5 มก. 1 มก. 2 มก.

กรณีฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด

หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที

กรณีลืมใช้ยา

หากคุณลืมรับประทานยาควรรีบรับประทานทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลารับประทานยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปรับประทานยาตามตารางปกติได้เลย ไม่ควรเพิ่มปริมาณยา

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรคหรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

หมายเหตุ

Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

ตรวจสอบข้อมูลทางการแพทย์โดย

เภสัชกรอาชานนท์ สมศักดิ์

ยาและอาหารเสริม · Hello Health Group


เขียนโดย พลอย วงษ์วิไล · แก้ไขล่าสุด 11/05/2020

advertisement iconโฆษณา

คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

advertisement iconโฆษณา
advertisement iconโฆษณา