สาเหตุที่ทำให้ มีตุ่มขึ้นที่อวัยวะเพศหญิง อาจมาจากหลายปัจจัยด้วยกัน เช่น การติดเชื้อรา แบคทีเรีย สารระคายเคือง บางคนอาจมีอาการคัน เจ็บแสบอวัยวะเพศ หากปล่อยไว้ไม่ทำการรักษาอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น มีบุตรยาก ปัญหาสุขภาพระหว่างตั้งครรภ์ อีกทั้งยังอาจทำให้ทารกได้รับเชื้อแม่ขณะคลอดได้ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาเหตุของตุ่มขึ้นที่อวัยวะเพศ อาจสามารถช่วยป้องกันจากปัญหานี้ได้
[embed-health-tool-ovulation]
มีตุ่มขึ้นที่อวัยวะเพศหญิง เกิดจากอะไร รักษาอย่างไร
ตุ่มขึ้นที่อวัยวะเพศหญิง อาจมาจากหลายสาเหตุด้วยกัน ได้แก่
1. หิด
เกิดจากปฏิกิริยาการแพ้ของร่างกายต่อตัวไรที่มีชื่อว่า Sarcoptes scabiei ซึ่งอาศัยอยู่ใต้ผิวหนังกระจายทั่วทุกส่วนของร่างกาย เช่น รอบอวัยวะเพศ บั้นท้าย รักแร้ ข้อพับ รอบเอว มือ โดยสังเกตได้จากอาการดังต่อไปนี้
- อาการคันรุนแรง โดยเฉพาะช่วงเวลากลางคืน
- ตุ่มน้ำเล็ก ๆ หรือตุ่มนูนบนผิวหนังที่ได้รับผลกระทบ
วิธีรักษา
- พอร์เมทริน (Permethrin) คือครีมที่เหมาะสำหรับการรักษาตุ่มบนอวัยะเพศจากโรคหิด เพื่อฆ่าตัวไรและไข่ สามารถใช้ได้กับทุกเพศทุกวัยได้อย่างปลอดภัย รวมถึงสตรีมีครรภ์ และเด็กที่มีอายุ 2 เดือนขึ้นไป
- ไอเวอร์เม็กติน (Ivermectin) ยารับประทานที่อาจเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาโรคหิดจากยาชนิดครีม ไม่แนะนำการใช้ยานี้สำหรับสตรีตั้งครรภ์และอยู่ในช่วงให้นมบุตร รวมถึงเด็กที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 15 กิโลกรัม
- โครตาไมตอน (Crotamiton) มีทั้งในรูปแบบครีมและ โลชั่น ใช้สำหรับรักษาโรคหิดที่ก่อให้เกิดตุ่มบนอวัยวะเพศ ทาวันละ 1 ครั้ง ก่อนการใช้ยาควรปรึกษาคุณหมอทุกครั้งเพื่อความปลอดภัย
2. การติดเชื้อราในช่องคลอด
เกิดจากการเจริญเติบโตของเชื้อราแคนดิดา (Candida albicans) ในช่องคลอดมากเกินไป ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น ยาคุมกำเนิด ยาปฏิชีวนะ การบำบัดด้วยฮอร์โมนที่เพิ่มระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และโรคเบาหวาน ที่ส่งผลให้ความสมดุลของยีสต์ในช่องคลอดเสีย และก่อให้เกิดอาการต่าง ๆ ดังนี้
- อาการคันระคายเคือง
- ผื่นบริเวณปากช่องคลอด
- ตกขาวหนา ไร้กลิ่น
- ช่องคลอดบวมแดง
- เจ็บแสบช่องคลอดขณะมีเพศสัมพันธ์หรือปัสสาวะ
วิธีรักษา
- กลุ่มยาต้านเชื้อรา เช่น ไมโคนาโซล (Miconazole) วาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir) เทอโคนาโซล (Terconazole) ซึ่งมีทั้งในรูปแบบครีม เจล ยาเม็ด ยาเหน็บ เป็นการใช้ยาสำหรับช่องคลอดระยะสั้นที่อาจช่วยกำจัดเชื้อราภายใน 3-7 วัน เหมาะสำหรับผู้ที่มีการติดเชื้อไม่รุนแรง
- ฟลูโคนาโซล (Fluconazole) เป็นยาแบบรับประทานเพียงครั้งเดียว ในกรณีที่มีอาการรุนแรงอาจรับประทานครั้งละ 2 โดส ห่างกัน 3 วัน สตรีที่กำลังตั้งครรภ์ควรหลีกเลี่ยงเพราะอาจก่อให้เกิดอันตรายกับทารกในครรภ์
3. เริมที่อวัยวะเพศ
เกิดจากไวรัสเริม (HSV) ที่ร่างกายอาจได้รับผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ผ่านทางแม่สู่ลูกเมื่อคลอดผ่านทางช่องคลอด หรือผ่านทางการสัมผัสกับสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อจากการใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดตัว อาการของเริมอาจปรากฏขึ้น 2-12 วัน หลังจากได้รับไวรัส ดังนี้
- ตุ่มสีแดง หรือสีขาว บริเวณอวัยวะเพศ
- แผลพุพอง
- ผิวหนังลอกเป็นขุย
- อาการปวดและคันอวัยวะเพศ
วิธีรักษา
- ยาต้านเชื้อรา เช่น วาลาไซโคลเวียร์ (Valacyclovir) ไมโคนาโซล (Miconazole) เทอโคนาโซล (Terconazole) ฟลูโคนาโซล (Fluconazole) อะไซโคลเวียร์ (Acyclovir)
4. โรคหูดหงอนไก่
เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Human papillomavirus (HPV) ผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ส่งผลให้เชื้อไวรัสเจริญเติบโตบริเวณช่องคลอด ก่อให้เกิดอาการต่าง ๆ ดังนี้
- อาการคัน รู้สึกไม่สบายบริเวณอวัยวะเพศ
- อวัยวะเพศบวม
- เลือดออกจากช่องคลอด
- มีตุ่มสีน้ำตาล ชมพู เนื้อ บริเวณอวัยวะเพศ
วิธีรักษา
- โพโดฟิลลิน (Podophyllin) มีสารออกฤทธิ์ทำลายเนื้อเยื่อตุ่มหูดที่อวัยวะเพศ สำหรับสตรีตั้งครรภ์อาจจำเป็นต้องหลีกเลี่ยง เพราะอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อทารกในครรภ์ นอกจากนี้สตรีที่อยู่ระหว่างช่วงให้นมบุตรอาจจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่ชี้ว่าโพโดฟิลลินจะให้ความปลอดภัยเพราะยาอาจซึมเข้าสู่น้ำนมระหว่างให้นมบุตรได้
- อิมิควิโมด (Imiquimod) คือยาที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับหูดบริเวณอวัยวะเพศ
- กรดไตรคลอโรอะเซติก (Trichloroacetic Acid) ช่วยรักษาหูด แต่อาจส่งผลให้ผิวหนังที่ได้รับผลกระทบเกิดการระคายเคือง
- ไซนีคาเทชิน (Sinecatechins) ครีมรักษาหูดที่อวัยวะเพศภายนอกหรือรอบ ๆ ทวาร ช่องคลอด อาจมีผลข้างเคียงทำให้ผิวแดง แสบร้อน เล็กน้อยไม่รุนแรง
5. โรคหูดข้าวสุก
เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Molluscum Contagiosum Virus ที่อาจส่งผลกระทบต่อผิวหนังทั่วทั้งร่างกาย เช่น หน้าท้อง แขน ขา คอ ใบหน้า และอวัยวะเพศ อาการของโรคหูดข้าวสุกสังเกตจาก
- ตุ่มนูนสีขาว ชมพู เนื้อ มีรอยบุ๋มตรงกลางตุ่มเล็กน้อย
- เจ็บแสบ และอาการคันอวัยวะเพศ
วิธีรักษา
- อิมิควิโมด (Imiquimod) เหมาะสำหรับการใช้รักษาหูดที่อวัยวะเพศเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับหูด
- กรดไตรคลอโรอะเซติก (Trichloroacetic Acid) ใช้รักษาหูดข้าวสุก หูดหงอนไก่ แต่อาจส่งผลให้เกิดการระคายเคืองผิวหนังบริเวณที่ได้รับผลกระทบเล็กน้อย
- โพโดฟิลลิน (Podophyllin) ช่วยทำลายเนื้อเยื่อตุ่มหูดที่อวัยวะเพศ สำหรับสตรีตั้งครรภ์และอยู่ระหว่างช่วงให้นมบุตรอาจจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ เพราะอาจส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ และสารออกฤทธิ์ของยาซึมเข้าสู่น้ำนม
- ไซนีคาเทชิน (Sinecatechins) ช่วยรักษาหูดที่อวัยวะเพศภายนอกช่องคลอด
สำหรับผู้ที่เป็นหูดบริเวณอวัยวะเพศ หากอาการของหูดไม่ตอบสนองต่อยา คุณหมออาจรักษาด้วยการผ่าตัด เลอเซอร์ การใช้การจี้ด้วยไฟฟ้า และหรือการใช้ความเย็นจากไนโตรเจนเหลวเพื่อกำจัดตุ่มหูดออก
6. ผิวหนังอักเสบจากอาการแพ้
ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับทำความสะอาดร่างกายและดูแลจุดซ่อนเร้น เช่น สบู่ น้ำมันหอมระเหย โลชั่น อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศ นำไปสู่อาการคัน อวัยวะเพศบวม ผื่นแดง
วิธีรักษา
- ครีมสเตียรอยด์ ครีมหรือขี้ผึ้งสเตียรอยด์เฉพาะที่อาจช่วยบรรเทาอาการผื่นผิวหนัง โดยควรทา 1-2 ครั้ง/วัน เป็นเวลา 2-4 สัปดาห์
- ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ คุณหมออาจให้ยาเม็ดมารับประทานเพื่อบรรเทาอาการคัน และช่วยต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรีย
ป้องกันตุ่มขึ้นที่อวัยวะเพศสำหรับผู้หญิง
วิธีป้องกันตุ่มขึ้นที่อวัยวะเพศหญิง มีดังนี้
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งก่อนมีเพศสัมพันธ์
- ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส เช่น ไวรัสเอชพีวี (HPV) ที่อาจช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อเอชพีวี และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ
- ไม่สวมกางเกงชั้นในรัดแน่น ระบายความอับชื้นได้ยาก ควรใช้กางเกงชั้นในผ้าฝ้าย
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของน้ำหอม ป้องกันการระคายเคืองอวัยวะเพศ
- ทำความสะอาดเครื่องใช้ที่อาจมีตัวไรสะสมเป็นประจำ เช่น ผ้าขนหนู เสื้อผ้า ผ้าห่ม เพื่อช่วยป้องกันการเกิดโรคหิดที่อาจก่อให้เกิดตุ่มบริเวณอวัยวะเพศ
- หลังจากทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ ควรล้างอวัยวะเพศให้สะอาดและเช็ดให้แห้งจากด้านหน้าไปด้านหลัง เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย
- พยายามอย่าสัมผัสกับตุ่มบริเวณอวัยวะเพศ หากสัมผัสควรล้างมือทุกครั้งด้วยสบู่
- อย่าเกาอวัยวะเพศ เพราะอาจก่อให้เกิดรอยขีดข่วนสะสมแบคทีเรีย และแพร่กระจายไวรัสไปส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย