การติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด เป็นอาการอักเสบในช่องคลอดชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากการที่เชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดเจริญเติบโตมากผิดปกติ จนทำให้แบคทีเรียที่อยู่ในช่องคลอดเสียความสมดุล โดยอาจเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกวัย แต่ส่วนใหญ่พบได้บ่อยในผู้หญิงที่อยู่ในช่วงวัยเจริญพันธุ์ อาการที่พบได้บ่อย คือ ตกขาวผิดปกติ มีกลิ่นคาวรุนแรง โดยเฉพาะหลังมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้น หากสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ ควรเข้าพบคุณหมอทันที เพื่อรับการตรวจและการรักษาอย่างถูกต้อง
การติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด คืออะไร
การติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด เป็นการติดเชื้อในช่องคลอดที่ไม่รุนแรง โดยจะเกิดขึ้นเมื่อแบคทีเรียที่มีอยู่ในช่องคลอดเสียสมดุล อาจเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือการสวนล้างช่องคลอดบ่อย ๆ ปกติการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดอาจเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกวัย แต่มักพบได้บ่อยในผู้หญิงที่อยู่ในช่วงวัยเจริญพันธุ์ แม้การติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพอื่น ๆ แต่หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ก็อาจนำไปสู่โรคแทรกซ้อนที่อันตรายได้ เช่น ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ การติดเชื้อเอชไอวี หนองในแท้ เริม
อาการของการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด
โดยปกติแล้วเมื่อติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดมักไม่ปรากฏอาการใด ๆ จึงอาจทำให้หลายคนไม่ทราบว่าตัวเองเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด บางครั้งอาการที่เกิดขึ้นก็อาจเป็น ๆ หาย ๆ สำหรับอาการของการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดที่อาจสังเกตได้มีดังนี้
- มีอาการคัน ปวด หรือแสบร้อนในช่องคลอด
- มีอาการคันบริเวณรอบนอกของช่องคลอด
- ตกขาวเปลี่ยนเป็นสีเทา หรือสีเขียว และอาจเป็นฟอง
- เจ็บปวดหรือแสบขณะมีเพศสัมพันธ์
- ตกขาวมีกลิ่นคาวรุนแรง โดยเฉพาะหลังจากมีเพศสัมพันธ์
- แสบร้อนเวลาปัสสาวะ
- ค่าความเป็นกรดด่างในช่องคลอดไม่สมดุล คือ สูงกว่า 4.5 ซึ่งโดยปกติค่าความเป็นกรดด่างจะอยู่ที่ 3.8-4.5
ควรพบคุณหมอเมื่อใด
หากมีอาการดังต่อไปนี้ควรเข้าพบคุณหมอ
- มีแผลในช่องคลอด
- เคยมีประวัติการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด
- มีคู่นอนหลายคน แต่ในบางครั้งอาการที่ปรากฏให้เห็นก็อาจคล้ายคลึงกับอาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- รักษาการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดเบื้องต้นด้วยการใช้ยาจากร้านขายยา แต่ยังคงมีอาการอยู่
- ตกขาวที่เกิดขึ้นใหม่มีกลิ่น
- มีไข้
ทั้งนี้ ควรเข้าพบคุณหมอในช่วงที่ไม่มีประจำเดือน เพราะจะช่วยให้คุณหมอสามารถตรวจตกขาวที่เกิดขึ้นได้
สาเหตุของการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด
การติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดอาจมีสาเหตุมากจากเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดเจริญเติบโตมากผิดปกติ นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ เหล่านี้
- การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
- ใช้สารหล่อลื่นที่มีส่วนผสมของน้ำหอมระหว่างมีเพศสัมพันธ์
- ใช้เซ็กส์ทอย โดยไม่ล้างทำความสะอาด
- เคยมีประวัติเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ
- ใช้ห่วงอนามัยคุมกำเนิด
- ใช้สบู่ในการทำความสะอาดช่องคลอด และสวนล้างช่องคลอดบ่อยเกินไป
- ประจำเดือนมามากหรือนานผิดปกติ
- การตั้งครรภ์ หรือวัยหมดประจำเดือน ซึ่งอาจส่งผลให้ฮอร์โมนเกิดการเปลี่ยนแปลง
- สวมกางเกงชั้นใน ถุงน่อง หรือกางเกงที่รัดแน่นเป็นระยะเวลานาน
วิธีรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด
สำหรับวิธีการรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด คุณหมออาจสั่งจ่ายยาดังต่อไปนี้
- เมโทรนิดาโซล (Metronidazole) ซึ่งมีทั้งรูปแบบเม็ดที่ใช้ในการรับประทาน และแบบเจลเฉพาะที่ ซึ่งใช้ทาเข้าไปในช่องคลอด ทั้งนี้ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างการรักษาและอย่างน้อย 1 วันหลังจากรักษาเสร็จ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการปวดท้อง หรือคลื่นไส้
- เซคนิดาโซล (Secnidazole) เป็นยาปฏิชีวนะในรูปแบบซองเม็ดเล็ก ๆ แบบรับประทานครั้งเดียว โดยการโรยลงบนอาหารอ่อน ๆ เช่น โยเกิร์ต ควรรับประทานภายใน 30 นาที โดยระวังอย่าเคี้ยวโดนเม็ดยา
- คลินดามัยซิน (Clindamycin) เป็นยาในรูปแบบครีมที่ใช้สอดเข้าไปในช่องคลอด ยาชนิดนี้อาจทำให้ถุงยางอนามัยอ่อนตัวลง ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างการรักษาและอย่างน้อย 3 วันหลังจากหยุดใช้ครีม
- ทินิดาโซล (Tinidazole) เป็นยารับประทานที่อาจก่อให้เกิดอาการปวดท้องและคลื่นไส้ ดังนั้น หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างการรักษาและอย่างน้อย 3 วันหลังจากรักษาเสร็จ
สตรีมีครรภ์ที่ติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด ควรเข้ารับการรักษา เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะคลอดก่อนกำหนด หรือทารกแรกเกิดอาจมีน้ำหนักตัวน้อย นอกจากนี้ ควรใช้ยา ครีม หรือเจล ตามที่คุณหมอกำหนด แม้อาการจะหายไปแล้วก็ตาม เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดซ้ำ
วิธีป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด
วิธีลดโอกาสในการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอดอาจทำได้ดังนี้
- สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
- เข้ารับการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และตรวจสอบให้แน่ใจว่าคู่นอนก็ได้รับการตรวจเช่นกัน
- ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ๆ
- ทำความสะอาดเซ็กส์ทอยทุกครั้งทั้งก่อนและหลังใช้งาน
- ล้างอวัยวะเพศด้วยน้ำสะอาดหรือสบู่อ่อน ๆ และไม่ควรสวนล้างช่องคลอดบ่อย ๆ เพราะอาจทำให้ค่าความเป็นกรดด่างภายในช่องคลอดเปลี่ยนแปลง
- รับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของแลคโตบาซิลลัส ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ทำหน้าที่ในการทำความสะอาดช่องคลอด รวมถึงรักษาความเป็นกรดด่างภายในช่องคลอด เช่น โยเกิร์ต
- เปลี่ยนผ้าอนามัยอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการใช้ผ้าอนามัยแบบสอด หรือแผ่นอนามัยที่มีส่วนผสมของน้ำหอมเป็นประจำ เพื่อป้องกันการอับชื้นและการระคายเคือง
- เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกชื้นทันที เช่น ชุดออกกำลังกาย ชุดว่ายน้ำ
- หลีกเลี่ยงการใส่ชุดชั้นใน ถุงน่อง หรือกางเกงที่รัดแน่นจนเกินไป ควรเลือกสวมชุดชั้นในที่ทำจากผ้าฝ้าย หรือเส้นใยธรรมชาติอื่น ๆ ที่มีการถ่ายเทของอากาศได้ดี รวมถึงใส่กางเกง หรือกระโปรงทรงหลวม เพื่อป้องกันการอับชื้น