แพ้ยาคุม อาจเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน หรือการแพ้ฮอร์โมนเพศหญิงของร่างกาย ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศีรษะ หรือปวดหัว หรืออาจร้ายแรงกลายเป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้รุนแรงได้ การรู้ถึงสาเหตุ การรักษา และการป้องกันอาจเป็นวิธีที่จะช่วยรับมือกับอาการแพ้ยาคุมที่อาจเกิดขึ้น
[embed-health-tool-ovulation]
คำจำกัดความ
แพ้ยาคุม คืออะไร
ยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนรวม มีส่วนประกอบของฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และฮอร์โมนโปรเจสติน (Progestin) ซึ่งตัวฮอร์โมนทั้งคู่จะช่วยยับยั้งการตกไข่ และสร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมต่อการตั้งครรภ์ เช่น ทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางตัวลง บางคนอาจมีอาการแพ้ยาคุม ซึ่งอาจเป็นความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่ต่อต้านยา จนทำให้เกิดอาการแพ้ยาคุม ในบางกรณีอาการแพ้ยาอาจลดลงหรือหายไป หรืออาจรุนแรงขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประวัติสุขภาพของผู้ป่วยด้วย
ทั้งนี้ อาการแพ้ยาคุม คือการที่แพ้ส่วนประกอบของฮอร์โมน หรือสารประกอบอื่นที่บรรจุมาในเม็ดยา ซึ่งในรายที่มีอาการแพ้แบบรุนแรงจะไม่แนะนำให้มีการใช้ยาต่อ แต่อาการส่วนใหญ่ที่เกิดหลังจากการใช้ยาคุมกำเนิดในช่วงแรก จะเรียกว่าผลข้างเคียงจากยา หรือเป็นภาวะที่ร่างกายได้รับฮอร์โมนจากภายนอกแล้วมีการตอบสนองที่แตกต่างกันไป สามารถใช้ยาต่อไปได้
แพ้ยาคุมพบบ่อยแค่ไหน
การแพ้ยาคุมไม่สามารถบอกล่วงหน้าได้ เช่นเดียวกับการแพ้ยาชนิดอื่นๆ ดังนั้นเมื่อมีการใช้ยาชนิดใหม่ต้องสังเกตอาการที่เกิดขึ้นเสมอ ส่วนอาการที่เป็นเพียงผลข้างเคียงจากยาคุมสามารถเกิดขึ้นได้น้อยกว่า 5% เช่น อาการเจ็บหน้าอก คลื่นไส้อาเจียน วิงเวียนศีรษะ มีเลือดออกทางช่องคลอดเล็กน้อย จึงควรปรึกษาคุณหมอก่อนรับประทานยาคุมกำเนิดเสมอ
อาการ
อาการแพ้ยาคุม
อาการแพ้ยาเป็นปฏิกิริยาความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันร่างกายที่มีต่อยา ไม่ว่าจะเป็นยาตามใบสั่งคุณหมอ ยาสมุนไพร หรือยาคุมกำเนิด อาจสามารถกระตุ้นทำให้เกิดอาการแพ้ยาได้
อาการแพ้ยามีความแตกต่างกับผลข้างเคียงของยาที่อาจเกิดขึ้นได้ตามคำระบุไว้บนฉลากยา ซึ่งอาการอาจเกิดขึ้นทันทีหรือเกิดขึ้นภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังกินยา โดยอาการเหล่านี้อาจคงอยู่เป็นเวลานานหลายชั่วโมง หลายวัน หรือหลายสัปดาห์ อาการแพ้ยาคุมที่พบบ่อย ได้แก่
- ลมพิษ หรือผื่นขึ้นที่ผิวหนัง
- อาการคัน
- มีไข้ น้ำมูกไหล
- อาการบวมบริเวณใบหน้า ลำตัว ปาก และคอ
- หายใจถี่ และหายใจมีเสียง
- คันตาและมีน้ำตาไหล
อาการแพ้ยาอาจทำให้เกิดปฏิกิริยารุนแรงที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย และอาจเป็นอันตรายร้ายแรงถึงชีวิตโดยอาจทำให้เกิดอาการ ดังนี้
- แน่นหน้าอก หายใจลำบาก
- วิงเวียนศีรษะ หรือหน้ามืด
- ความดันโลหิตต่ำ ชีพจรอ่อน
- ท้องเสีย คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง
- อาการชัก หรือหมดสติ
ผลข้างเคียงของยาคุมแต่ละชนิดอาจแตกต่างกัน ดังนี้
ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม
ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมมีหลายประเภท และมีปริมาณของฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสตินที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง ดังนี้
- ปวดหัว เวียนศีรษะ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ท้องอืด
- คัดตึงหรือปวดเต้านม
- มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด
- ปริมาณประจำเดือนลดลง หรือประจำเดือนไม่มา
การใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรค เช่น โรคถุงน้ำดี ลิ่มเลือดอุดตัน ตับทำงานผิดปกติ และในผู้ที่สูบบุหรี่อาจเกิดโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจวายได้ ดังนั้นก่อนการเริ่มใช้ยาคุมกำเนิดจึงควรปรึกษาุณหมอก่อน
ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดียว
เป็นยาคุมกำเนิดที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนโปรเจสตินเพียงตัวเดียว มักใช้ในผู้ที่ให้นมบุตรหรือผู้ที่มีอาการผลข้างเคียงจากฮอร์โมนเอสโตรเจน แต่ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดียวอาจทำให้มีผลข้างเคียง ดังนี้
- ช่วงเริ่มใช้อาจทำให้มีอารมณ์แปรปรวนง่าย แต่อาการจะหายไปเองเมื่อกินยาคุมอย่างต่อเนื่อง
- ปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน
- มีสิวขึ้น
- คัดตึงหรือปวดเต้านม
- ประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือประจำเดือนไม่มา
ควรรีบพบคุณหมอหากมีอาการรุนแรงขึ้น ดังนี้
- ดีซ่าน
- ปวดท้อง ปวดน่อง หรือเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง
- ความดันโลหิตสูง หมดสติ
- อ่อนแรง หรือมีอาการชา
ยาคุมฉุกเฉิน
เป็นยาคุมกำเนิดที่ใช้ป้องกันการตั้งครรภ์ภายใน 72 ชั่วโมง หหลังจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน แต่ทั้งนี้หากกินยาคุมฉุกเฉินเม็ดแรกภายใน 24 ชั่วโมงหลังการมีเพศสัมพันธ์ จะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากยาคึมฉุกเฉินมีปริมาณฮอร์โมนที่สูงกว่ายาคุมโดยทั่วไปจึงอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง ดังนี้
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดหัว ปวดท้อง
- มีเลือดออกทางช่องคลอด และประจำเดือนมาไม่ปกติ
ทั้งนี้การใช้ยาคุมฉุกเฉินอาจไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 100% และถ้ามีการตั้งครรภ์ก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการท้องนอกมดลูก การใช้บ่อย ๆ อาจส่งผลกระทบต่อระบบฮอร์โมนของร่างกายได้
ผลข้างเคียงจากยาคุมกำเนิดบางประการอาจมีความคล้ายคลึงกับอาการแพ้ยาคุม เช่น อาการปวดหัว คลื่นไส้ อาการเหล่านี้อาจลดลงหรือหายไป เมื่อใช้ยาคุมกำเนิดอย่างต่อเนื่อง ถ้าไม่แน่ใจว่าเป็นผลข้างเคียงหรืออาการแพ้ยาควรกลับมาปรึกษาคุณหมอ
สาเหตุ
สาเหตุการแพ้ยาคุม
การแพ้ยาคุมอาจเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสร้างแอนติบอดีเพื่อต่อต้านฤทธิ์ของยาคุม ส่งผลทำให้เกิดอาการแพ้ยาคุม ในบางกรณีหากได้รับยาอย่าง ต่อเนื่องอาการแพ้ยาอาจลดลงหรือหายไป แต่บางกรณีก็อาจมีอาการรุนแรงขึ้น
ส่วนผลข้างเคียงของยาคุมอาจเกิดจากส่วนประกอบของฮอร์โมนในยาคุมกำเนิด และการตอบสนองของร่างกายจ่อฮอร์โมนจากภายนอก ซึ่งยาคุมแต่ละประเภทก็มีปริมาณของฮอร์โมนที่ไม่เท่ากัน ทำให้บางครั้งการเปลี่ยนชนิดของยาคุม อาจทำให้ลดอาการข้างเคียงลงได้ นอกจากนี้ ผลข้างเคียงอาจขึ้นอยู่กับสุขภาพร่างกายของผู้ใช้ยาด้วย
การวินิจฉัยและการรักษา
การวินิจฉัยการแพ้ยาคุม
การวินิจฉัยสำหรับการแพ้ยาคุมสามารถทำได้ ดังนี้
- คุณหมอจะทำการตรวจร่างกายและสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้ยา เวลารับประทานยา อาการแพ้เริ่มต้น เพื่อเป็นข้อมูลในการวินิจฉัย
- คุณหมออาจทำการทดสอบสุขภาพด้านอื่น ๆ เพิ่มเติม ดังนี้
- ตรวจเลือด เพื่อหาสาเหตุของอาการแพ้
- ทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนัง โดยใช้สารหรือตัวกระตุ้นที่คาดว่าอาจเป็นสาเหตุของอาการแพ้มาสะกิดที่ผิวหนังในปริมาณเล็กน้อยเพื่อดูอาการ หากมีอาการคัน มีตุ่มแดงและนูน แสดงว่าผู้ป่วยมีอาการแพ้ยาชนิดนั้น
การรักษาการแพ้ยาคุม
วิธีรับมือหากมีอาการแพ้ยาคุมสามารถทำได้ ดังนี้
- หยุดกินยาคุมกำเนิด หากมีอาการแพ้ยาคุมให้หยุดกินยาชนิดนั้นทันที และเข้าพบคุณหมอเพื่อตรวจอาการ โดยคุณหมออาจเปลี่ยนตัวยา หรือแนะนำวิธีคุมกำเนิดแบบอื่น
- กินยาแก้แพ้ คุณหมออาจแนะนำให้กินยาแก้แพ้ ยาต้านฮิสตามีน (Antihistamine) เช่น ไดเฟนไฮดรามีน (Diphenhydramine) เพื่อช่วยป้องกันสารเคมีในระบบภูมิคุ้มเข้าไปกระตุ้นอาการแพ้ หรืออาจให้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) เพื่อรักษาอาการอักเสบจากการแพ้รุนแรง
- การรักษาปฏิกิริยาภูมิแพ้รุนแรง หากมีปฏิกิริยาภูมิแพ้รุนแรงคุณหมออาจต้องให้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โดยให้ยาอะดรีนาลีนแบบออกฤทธิ์ทันที เพื่อช่วยบรรเทาอาการแพ้
สำหรับการรักษาผลข้างเคียงจากยาคุมกำเนิด โดยส่วนใหญ่ผลข้างเคียงจากยาจะค่อย ๆ ลดลงหรือหายไปเองได้ประมาณ 2-3 เดือนเมื่อกินยาอย่างต่อเนื่อง แต่หากมีผลข้างเคียงรุนแรงหรือเกิดขึ้นเป็นเวลานาน ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ควรเข้าพบคุณหมอเพื่อหาสาเหตุและเปลี่ยนชนิดของยาคุมกำเนิด หรืออาจเปลี่ยนวิธีคุมกำเนิดแบบอื่น
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง
การปรับไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเองเมื่อแพ้ยาคุม
การดูแลตัวเองเพื่อป้องกันอาการแพ้ยาคุมที่อาจเกิดขึ้น ดังนี้
- หากมีอาการแพ้คุมให้หยุดกินยา และเข้าพบคุณหมอเพื่อตรวจอาการ คุณหมออาจแนะนำให้ใช้วิธีการคุมกำเนิดรูปแบบอื่นแทนการใช้ยาคุมกำเนิด เช่น ถุงยางอนามัย ห่วงอนามัย
- จดบันทึกเกี่ยวกับชนิดยาที่ทำให้เกิดอาการแพ้
- แจ้งคุณหมอทุกครั้งเกี่ยวกับการแพ้ยาคุม เพื่อที่คุณหมอจะได้จัดยาชนิดอื่นให้