ก้นลาย เป็นปัญหาผิวหนังแตกลายซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเพิ่มและลดของน้ำหนักอย่างรวดเร็ว การตั้งครรภ์ การเจริญเติบโตของร่างกาย ที่ทำให้ผิวหนังขยายตัวออกอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ การที่ผิวหนังขาดคอลลาเจนและอิลาสตินก็อาจทำให้ก้นลายได้เช่นกัน โดยปัญหาก้นลายสามารถเกิดได้ในทุกส่วนของร่างกาย ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและสามารถจางหายเองได้ อย่างไรก็ตาม อาจจำเป็นต้องใช้วิธีการรักษาร่วมด้วย เพื่อช่วยให้รอยแตกลายจางเร็วขึ้น
[embed-health-tool-ovulation]
ก้นลาย เกิดจากอะไร
ก้นลาย เป็นปัญหารอยแตกลายบนผิวหนัง อาจมีลักษณะเป็นรอยย่น เป็นเส้นริ้วสีชมพู แดง ดำ หรือม่วง อาจมีขนาดใหญ่หรือเล็ก ซึ่งปัญหาผิวแตกลายอาจเกิดขึ้นได้ในทุกบริเวณของร่างกาย เช่น หน้าท้อง สะโพก หน้าอก โดยอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุที่ทำให้ผิวหนังยืดและหดตัวอย่างรวดเร็ว จนส่งผลให้คอลลาเจนและอิลาสติน (Elastin) ในผิวหนังที่มีหน้าที่ให้ความแข็งแรงและความยืดหยุ่นสลายตัว และเกิดเป็นปัญหาก้นลายขึ้น ดังนี้
- การสืบทอดทางพันธุกรรม
- ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกิน
- ผู้ที่น้ำหนักตัวเพิ่มและลดลงอย่างรวดเร็ว
- ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์
- ร่างกายที่กำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว
- การใช้ครีมหรือยารับประทานสเตียรอยด์ในปริมาณมากเกินไป จนอาจทำให้ผิวหนังบางและเป็นรอยแตกลาย
ก้นลายรักษาได้อย่างไร
ปัญหาก้นลายไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและไม่จำเป็นต้องรักษา เนื่องจากรอยแตกลายอาจค่อย ๆ จางลงและกลับมาเป็นสีผิวที่สม่ำเสมอได้เอง แต่อาจต้องใช้เวลานานโดยเฉพาะหากรอยแตกลายมีขนาดใหญ่และสีเข้มมาก ซึ่งการรักษาด้วยวิธีต่อไปนี้อาจช่วยให้ปัญหาก้นลายจางลงได้เร็วขึ้น
- ครีมเรตินอยด์ เช่น เตรทติโนอิน (Tretinoin) ช่วยในการสร้างคอลลาเจน และอาจช่วยลดเลือนรอยแตกลายให้ดูจางลง วิธีนี้สามารถใช้รักษาได้เฉพาะรอยแตกลายที่ยังแดง ๆ เกิดขึ้นน้อยกว่า 2-3 เดือน
- รักษาด้วยเลเซอร์ อาจช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของคอลลาเจนหรือส่งเสริมความยืดหยุ่นของผิวหนัง
- โปรแกรมไมโครนีดดิ้ง (Microneedling) เป็นการรักษาด้วยการใช้เข็มขนาดเล็กกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใหม่ใต้ชั้นผิวหนัง จึงอาจช่วยให้ผิวแข็งแรงมากขึ้นและลดเลือนรอยก้นลายได้
วิธีดูแลตัวเองเพื่อป้องกันปัญหาก้นลาย
ปัญหาก้นลายอาจไม่มีวิธีที่จะป้องกันได้อย่างถาวร แต่การดูแลสุขภาพผิวเป็นประจำด้วยการให้ความชุ่มชื้น และวิธีอื่น ๆ ต่อไปนี้อาจช่วยป้องกันปัญหาก้นลายได้
- ดื่มน้ำให้มากขึ้น เพราะน้ำช่วยทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นมากขึ้น อ่อนนุ่ม และอาจทำให้มีโอกาสเกิดรอยแตกลายได้น้อยลง
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม เนื่องจากคาเฟอีนอาจทำให้ร่างกายขับน้ำออกมามากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น แห้งและเหี่ยวย่นได้
- การรับประทานอาหาร ควรรับประทานอาหารที่ช่วยส่งเสริมการสร้างคอลลาเจน อิลาสติน และช่วยต้านสารอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะอาหารที่อุดมไปด้วยสังกะสี วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินดี และโปรตีน เช่น เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว ปลา ถั่ว เมล็ดพืช ธัญพืช บร็อคโคลี่ ผลไม้รสเปรี้ยว แครอท นม โยเกิร์ต มะเขือเทศ
- การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อาจช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดในการส่งสารอาหารไปเลี้ยงเซลล์ผิว และช่วยให้ร่างกายเพิ่มการผลิตคอลลาเจนในชั้นผิวหนัง จึงส่งผลให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่นมากขึ้น
- ทาครีมชุ่มชื้น สม่ำเสมอเพื่อลดโอกาสผิวแห้งแตกลาย
- รักษาระดับน้ำหนักให้คงที่ ไม่ให้เพิ่มมาก หรือเพิ่มเร็วเกินไป