เมโสเทอราปี (Mesotherapy) หรือที่นิยมเรียกกันว่า เมโสหน้าใส เป็นวิธีการเสริมความงามแบบหนึ่ง ด้วยการฉีดวิตามินหรือสารสกัดจากธรรมชาติเข้าสู่ใบหน้า เพื่อลดริ้วรอย ทำให้หน้าแลดูกระจ่างใส หรือทำให้ใบหน้าเต่งตึงแลดูอ่อนเยาว์ขึ้น ทั้งนี้ เมโสหน้าใสอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น ผื่นแดง รอยช้ำ ดังนั้น ก่อนเลือกดูแลผิวหน้าด้วยการทำเมโสหน้าใส ควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดถี่ถ้วนโดยเฉพาะข้อดี-ข้อเสีย และความน่าเชื่อถือของสถานพยาบาล
[embed-health-tool-bmi]
เมโสหน้าใส คืออะไร
เมโสหน้าใส มาจากคำว่า เมโสเทอราปี หมายถึง การรักษาและบำรุงสภาพผิวหน้า ด้วยการฉีดสารต่าง ๆ เช่น วิตามิน แร่ธาตุ เอนไซม์ หรือฮอร์โมนเข้าไปยังผิวหนังชั้นกลางของใบหน้า เพื่อกระตุ้นการทำงานของโปรตีนคอลลาเจน (Collagen) และอิลาสติน (Elastin) ในชั้นผิวหนัง ซึ่งมีคุณสมบัติในการสร้างเซลล์ผิวใหม่ และช่วยให้ผิวหนังเต่งตึง กระจ่างใส ริ้วรอยและจุดด่างดำต่าง ๆ ดูจางลง ทั้งนี้ คุณหมอจะเป็นผู้ประเมินและเลือกประเภทของสารที่จะใช้ฉีดเข้าสู่ผิวหน้า โดยพิจารณาให้เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละคน
เมโสหน้าใสมีขั้นตอนอย่างไร
เมื่อไปรับบริการฉีดเมโสหน้าใสที่สถานพยาบาล โดยทั่วไปจะมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
- คุณหมอหรือผู้เชี่ยวชาญตรวจสุขภาพใบหน้าและสภาพผิว เพื่อประเมินถึงความเหมาะสมของสารีที่จะใช้ฉีดเข้าสู่ชั้นผิวหนัง
- ทำความสะอาดใบหน้า
- ทายาชาลงบนใบหน้า อย่างไรก็ตาม บางสถานพยาบาลอาจข้ามขั้นตอนนี้
- ฉีดวิตามินหรือสารสกัดจากธรรมชาติเข้าสู่ใบหน้า ด้วยเข็มฉีดยาหรือปืนฉีดยา ทั้งนี้ ความลึกของการฉีดเมโสหน้าใสจะอยู่ระหว่าง 1-4 มิลลิเมตร โดยแตกต่างกันไปตามสภาพผิวหน้า หรือจุดประสงค์ในการดูแลผิวของแต่ละคน
- หากไม่พบอาการแพ้หรือผลข้างเคียงใด ๆ หลังการฉีดเมโสหน้าใสคุณหมอจะอนุญาตให้กลับบ้านได้
- โดยรวมแล้วขั้นตอนการฉีดเมโสหน้าใสจะใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 20-45 นาที
ทั้งนี้ ก่อนเข้ารับการฉีดเมโสหน้าใส ควรหยุดรับประทานยาแอสไพริน รวมถึงยาบรรเทาอาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์เป็นเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ เนื่องจากการรับประทานยาดังกล่าว อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เลือดออกมากกว่าปกติ หรือผิวหนังฟกช้ำง่ายกว่าปกติ ระหว่างการฉีดเมโสหน้าใส
การดูแลตนเองหลังทำเมโสหน้าใส
หลังจากฉีดเมโสหน้าใส ควรดูแลผิวหน้าของตนเองขณะที่อยู่บ้าน โดยปฏิบัติดังนี้
- หลังฉีดเมโสหน้าใส ควรหลีกเลี่ยงการล้างหน้าเป็นเวลา 4-6 ชั่วโมง เพื่อให้ผิวดูดซึมสารต่าง ๆ ที่ถูกฉีดเข้าไปได้อย่างล้ำลึกก่อน
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายเป็นเวลา 2 วัน เนื่องจากการออกกำลังกายจะทำให้สารที่ฉีดเข้าไปใต้ผิวหน้าซึมออกมาจากรูขุมขน และทำให้ประสิทธิภาพของเมโสหน้าใสลดลง
- หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับแสงแดด เป็นเวลาประมาณ 2 วัน หรือจนกว่ารอยช้ำหรือบวมแดงบนใบหน้าซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากการทำเมโสหน้าใสจะมีอาการดีขึ้น
- รับประทานยาแก้อักเสบที่คุณหมอจ่ายให้ เพื่อบรรเทาอาการอักเสบหรือบวมแดงของใบหน้าซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้หลังทำเมโสหน้าใสโดยเฉพาะในช่วงวันแรก ๆ
ผลข้างเคียงในการทำเมโสหน้าใส
หลังการทำเมโสหน้าใส ผู้รับบริการอาจพบผลข้างเคียงดังต่อไปนี้ และมักหายภายในระยะเวลา 1-3 วัน
- รอยช้ำบริเวณใบหน้า โดยเฉพาะผิวที่โดนฉีดซึ่งอาจหายไปภายใน 1 สัปดาห์หลังเข้ารับการฉีด
- อาการบวมแดงของใบหน้า เป็นปฏิกิริยาปกติของร่างกายเมื่อได้รับสารแปลกปลอมต่าง ๆ เข้าสู่ชั้นผิวหนัง มักหายไปหลังฉีดเมโสหน้าใสประมาณ 24 ชั่วโมง
- รู้สึกระคายเคือง เจ็บ หรือปวดเมื่อล้างหน้าในวันแรกหลังทำเมโสหน้าใส
- ผื่นแดง ซึ่งอาจเกิดจากการแพ้ยาชา หรือตัวยาเมโสหน้าใส หรือผื่นจากโรคประจำตัวของผู้ที่เข้ารับการฉีด รวมทั้งอาจเกิดจากการติดเชื้อได้ด้วยซึ่งสามารถรักษาได้ด้วยการรับประทานยาฆ่าเชื้อ หากหลังผ่านไป 24 ชั่วโมง อาการไม่ดีขึ้น ควรไปพบคุณหมอ
เมโสหน้าใส ทำกี่ครั้งจึงจะเห็นผลชัดเจน
เมโสหน้าใสอาจเริ่มเห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ โดยจะสังเกตเห็นได้ในวันที่ 3 หลังจากเข้ารับการฉีดเมโสหน้าใส อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์จะคงอยู่เพียง 1-2 เดือน ดังนั้น หากต้องการให้ผลคงอยู่ในระยะยาว ควรเข้ารับบริการฉีดเมโสหน้าใสอย่างต่อเนื่อง ภายใต้คำแนะนำของคุณหมอ โดยในช่วงแรก ๆ อาจต้องฉีดเมโสหน้าใสเป็นประจำทุก 7-10 วัน
ข้อดีและข้อเสียของ เมโสหน้าใส
เมโสหน้าใสมีข้อดีและข้อเสียดังต่อไปนี้
ข้อดี
- สะดวก เห็นผลเร็ว ไม่ต้องพักฟื้นที่สถานพยาบาล
- ไม่เจ็บ เนื่องจากใช้ยาชา
- เหมาะกับผู้ที่ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง
ข้อเสีย
- อาจมีผลข้างเคียง เช่น รอยฟกช้ำ อาการบวมแดง รู้สึกเจ็บหรือปวด
- ผลลัพธ์หน้าใสไม่คงทนถาวร จำเป็นต้องไปฉีดสม่ำเสมอ จึงส่งผลให้ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง หรือไม่เหมาะกับผู้มีงบประมาณจำกัด
- อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ และติดเชื้อ
- ปัจจุบัน อย. ยังไม่รับรองยาที่ฉีด
ก่อนตัดสินใจดูแลผิวหน้าด้วยวิธีเมโสหน้าใส ควรตรวจสอบประวัติของสถานพยาบาลหรือคลินิกเสริมความงาม รวมทั้งรายชื่อและประวัติของคุณหมอก่อนเข้ารับบริการให้ละเอียดว่าปลอดภัย น่าเชื่อถือ และได้มาตรฐาน
นอกจากนั้น ก่อนเข้ารับการฉีดควรสอบถามถึงผลิตภัณฑ์ที่ใช้และตรวจดูว่าผ่านมาตรฐานและมีเครื่องหมายรับรองจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยาหรือไม่ เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดจากการใช้ยาที่ไม่ได้มาตรฐาน