ซีสต์ไขมันใต้ผิวหนัง (Sebaceous Cyst) คือ ซีสต์ไขมันหรือซีสต์ของผิวหนังที่เกิดการแข็งตัวขึ้นทีละน้อยภายใต้ผิวหนัง อย่างไรก็ตาม ซีสต์ไขมันใต้ผิวหนังมักจะไม่กลายเป็นเนื้อร้ายหรือมะเร็ง และสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดเพื่อกำจัดก้อนซีสต์ออกไป รวมถึงการดูแลตัวเอง รักษาความสะอาดของผิว และตรวจร่างกายเป็นประจำ เพื่อช่วยให้ผิวมีสุขภาพดี และลดความเสี่ยงของการเกิดโรค
[embed-health-tool-bmi]
คำจำกัดความ
ซีสต์ไขมันใต้ผิวหนัง (Sebaceous Cyst) คืออะไร
ซีสต์ไขมันใต้ผิวหนัง (Sebaceous Cyst) คือ ซีสต์ไขมันหรือซีสต์ของผิวหนังที่เกิดการแข็งตัวขึ้นทีละน้อยภายใต้ผิวหนัง โดยมีขนาด 1-5 เซนติเมตร พบได้บ่อยบริเวณใบหน้า ลำคอ และลำตัว
อย่างไรก็ตามไม่ต้องกังวลว่า ซีสต์ไขมันใต้ผิวหนังจะกลายเป็นเนื้อร้ายอย่างมะเร็ง หรือส่งผลกระทบต่อร่างกาย เพราะซีสต์ไขมันใต้ผิวหนังมักไม่ก่อให้เกิดอาการรุนแรงใด ๆ
พบได้บ่อยเพียงใด
ซีสต์ไขมันใต้ผิวหนัง มักเกิดขึ้นบ่อยบริเวณใบหน้าและลำคอ
อาการ
อาการซีสต์ไขมันใต้ผิวหนัง
ผู้ป่วยที่มีซีสต์ไขมันใต้ผิวหนังขนาดใหญ่บริเวณใบหน้าและลำคอจะมีอาการเจ็บปวดและรู้สึกไม่สบายตัว โดยลักษณะของผู้ป่วยที่เป็นซีสต์ไขมันใต้ผิวหนัง จะมีอาการดังต่อไปนี้
- ก้อนซีสต์มีเส้นผ่าสูงกลางขนาดใหญ่มากกว่า 5 เซนติเมตร
- เมื่อทำการผ่าออกแล้วกลับมีซีสต์ก้อนใหม่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
- มีลักษณะของการติดเชื้ออื่นแทรกซ้อน เช่น มีรอยแดง มีอาการปวด มีหนอง
สาเหตุ
สาเหตุของซีสต์ไขมันใต้ผิวหนัง
ซีสต์ไขมันใต้ผิวหนังเกิดจากต่อมไขมันใต้ผิวหนัง ซึ่งเป็นต่อมไขมันที่ทำหน้าที่ผลิตไขมันที่คอยให้ความชุ่มชื้นกับเส้นผมและผิวหนัง โดยซีสต์ใต้ผิวหนังเกิดความผิดปกติของน้ำมันภายใต้ผิวหนังที่ไม่สามารถออกไปสู่ผิวชั้นนอกได้จึงทำให้เกิดการอุดตันอยู่ในรูขุมขน นอกจากนี้ อาจเกิดจากบาดแผลที่ผิวหนัง การผ่าตัด สิว รวมถึงสาเหตุอื่น ๆ ดังนี้
- ต่อมไขมันผิดรูปร่าง
- เซลล์ผิวหนังเกิดความผิดปกติในระหว่างการผ่าตัด
- โรคทางพันธุกรรม เช่น ท่อต่อมไขมันผิดปกติหรือผิดรูปร่าง ท่อไขมันหรือต่อมเหงื่อเกิดการอุดตัน เซลล์ได้รับความเสียหายจากการผ่าตัด เช่น โรคการ์ดเนอร์ซินโดรม (Gardner’s Syndrome) หรือ โรคมะเร็งผิวหนังบางชนิด (Basal Cell Nevus Syndrome)
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงของซีสต์ไขมันใต้ผิวหนัง
ผู้ป่วยที่เป็นซีสต์ไขมันใต้ผิวหนังอาจมีตุ่มมากกว่า 1 ตุ่ม โดยปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ผิวหนังบอบบางมากขึ้น ดังนี้
- เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม
- เริ่มเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น
- ผิวหนังได้รับความเสียหาย เช่น อุบัติเหตุ การหกล้ม บาดแผล
การวินิจฉัยและการรักษา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยซีสต์ไขมันใต้ผิวหนัง
ในเบื้องต้นแพทย์จะทำการตรวจสอบประวัติและตรวจร่างกาย หากมีอาการผิดปกติแพทย์อาจต้องทำการวินิจฉัยเพิ่มเติมว่าผู้ป่วยต้องได้รับการผ่าตัดออก หรืออาจเป็นโรคมะเร็ง โดยตรวจเพิ่มเติมเพื่อวินิฉัยระบุโรค ดังนี้
- ทำตรวจซีทีสแกน (Computerized Tomography : CT scan) แพทย์จะทำการตรวจสอบหาความผิดปกติเพื่อนำมาวินิฉัยระบุโรคที่แน่ชัด
- การตรวจอัลตราซาวด์ (Ultrasounds) เพื่อแพทย์จะได้ใช้ในการตรวจหาของของเหลวที่อยู่ภายในซีสต์
- การตัดชิ้นเนื้อผิวหนังเพื่อนำมาตรวจ (Punch biopsy) แพทย์จะทำการตัดเนื้อเยื่อบางส่วนเพียงเล็กน้อยจากในถุงซีสต์ นำไปตรวจเพื่อหาว่ามีความเป็นไปได้ในการเกิดโรคมะเร็งหรือไม่
การรักษาซีสต์ไขมันใต้ผิวหนัง
ซีสต์ไขมันใต้ผิวหนังสามารถหายไปเองได้ โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ อย่างไรก็ตามสามารถผ่าตัดออกได้เพื่อความสวยความงาม โดยมีวิธีการผ่าตัดที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้
- การผ่าตัดเอาก้อนซีสต์ออกทั้งหมด จะช่วยกำจัดก้อนซีสต์ออกไปได้ทั้งหมด แต่อาจทิ้งรอยแผลเป็นไว้
- การผ่าตัดซีสต์ออกไปบางส่วน วิธีนี้จะทำให้เกิดรอยแผลเป็นน้อยที่สุด แต่มีความเสี่ยงต่อการเกิดซีสต์อีกครั้ง
- การผ่าตัดซีสต์ด้วยเลเซอร์ โดยการเลเซอร์เพื่อระบายของเหลวในถุงซีสต์ออกมา
หลังจากทำการผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะจ่ายยาแก้อักเสบเพื่อป้องกันการติดเชื้อ และครีมทาเพื่อช่วยลดรอยแผลเป็น
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเองเพื่อป้องกันซีสต์ไขมันใต้ผิวหนัง
การดูแลตัวเองเพื่อป้องกันซีสต์ไขมันใต้ผิวหนัง สามารถทำได้ ดังนี้
- รักษาความสะอาดของผิว อาบน้ำเป็นประจำ โดยใช้สบู่หรือครีมอาบน้ำเพื่อทำความสะอาดสิ่งสกปรกบนร่างกาย
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
- ตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพื่อให้สามารถตรวจพบความผิดปกติได้เร็ว และทำการรักษาตั้งแต่เนิ่น ๆ