โรคตับแข็ง (Cirrhosis) เกิดจากการที่ตับอักเสบทำให้เนื้อเยื่อตับเป็นพังผืด เกิดความเสียหายและไม่สามารถทำงานได้อย่างเหมาะสม ทำให้เกิดการขัดขวางกระแสเลือดภายในตับบางส่วน โดยมีปัจจัยเสี่ยงคือพันธุกรรม การดื่มแอลกอฮอล์ และโรคอ้วนหรือภาวะน้ำหนักเกิน
[embed-health-tool-bmi]
คำจำกัดความ
โรคตับแข็ง คืออะไร
โรคตับแข็ง (Cirrhosis) เป็นภาวะที่ตับได้รับความเสียหายและไม่สามารถทำงานได้อย่างเหมาะสม มักเกิดขึ้นเมื่อตับมีการอักเสบทำให้เนื้อเยื่อตับเป็นพังผืด และไปขัดขวางกระแสเลือดภายในตับเป็นบางส่วน
ทั้งนี้ ตับเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดภายในร่างกาย ทำหน้าที่สำคัญหลายประการ โดยหน้าที่หลักของตับ ได้แก่
- ดูดซึมและสะสมสารอาหารที่จำเป็นในระหว่างการย่อยอาหาร ได้แก่ โปรตีน น้ำตาล และไขมัน แล้วลำเลียงสารอาหารเหล่านี้ไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
- สังเคราะห์โปรตีนขึ้นใหม่เพื่อสร้างสารที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด และสารภูมิคุ้มกันเพื่อช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหายและต่อสู้กับเชื้อโรคต่าง ๆ
- สังเคราะห์น้ำดีเพื่อสลายไขมันในอาหารในระหว่างย่อยอาหารเพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมไขมัน คอเลสเตอรอล และวิตามินที่ละลายในไขมัน
- กรองเลือดเพื่อกำจัดของเสีย เช่น สารพิษต่าง ๆ ไขมันส่วนเกิน และคอเลสเตอรอล ของเสียดังกล่าวก่อตัวขึ้นเป็นอุจจาระแล้วปลดปล่อยออกจากร่างกายในระหว่างการขับถ่าย
โดยปกติแล้ว ตับสามารถฟื้นฟูและซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหายได้ ยกเว้นในกรณีที่เกิดความเสียหายรุนแรงเกินไปเป็นเวลานาน ส่งผลให้เนื้อเยื่อตับกลายเป็นเนื้อเยื่อแผลเป็น ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าพังผืด (fibrosis) การเกิดพังผืดของตับเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ เมื่อเวลาผ่านไปก็จะก่อให้เกิดตับแข็งในที่สุด
โรคตับแข็งในระยะเริ่มแรก ตับยังคงทำงานและเมื่อเข้าสู่สู่ระยะต่อไปตับอาจล้มเหลวได้ ควรเข้ารับการตรวจทันทีเพื่อป้องกันตับล้มเหลว (liver failure)
โรคตับแข็ง พบได้บ่อยเพียงใด
โรคตับแข็งพบได้ทั่วไป โดยมักพบอยู่ในผู้ป่วยโรคตับเรื้อรังระยะสุดท้าย (chronic liver disease) โดยประมาณการกันว่าคนจำนวน 50 ล้านคนในโลกได้รับผลกระทบจากโรคตับเรื้อรัง และโรคตับแข็ง ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพได้ทั้งในผู้ชาย และผู้หญิง อย่างไรก็ดี อัตราการเสียชีวิตจากโรคตับแข็งมักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง
อาการ
อาการของ โรคตับแข็ง
สัญญาณเตือนและอาการของโรคตับแข็งขึ้นอยู่กับระยะของโรค คนจำนวนมากที่เป็นโรคตับแข็งในระยะเริ่มแรกอาจไม่มีสัญญาณเตือนหรืออาการ หากมีอาการเกิดขึ้น มักมีลักษณะดังต่อไปนี้
- รู้สึกเหนื่อยง่าย อ่อนแรง อ่อนเพลีย
- มีความอยากอาหารน้อยลงหรือไม่มีความอยากอาหาร
- คลื่นไส้
- น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว
- ตับโต
- ฝ่ามือมีสีแดง
ในช่วงระยะท้าย ๆ ของโรคตับแข็ง อาจมีอาการดังนี้
- ตา หรือผิวหนังมีสีเหลือง
- ปัสสาวะเป็นสีน้ำตาลหรือสีเหลืองเข้ม
- ผมร่วง
- การเปลี่ยนแปลงในหลอดเลือดที่ผิวหนังหรือโดยรอบสะดือ
- หน้าอกโตในผู้ชาย
- มีแผลฟกช้าและเลือดออกง่าย
- ท้องร่วง
- รู้สึกมึนงง
- ท้องบวมจากการสะสมตัวของของเหลวและขาบวม
- ม้ามโต
- ริดสีดวงทวาร
- หมดสติ (Coma)
อาจมีสัญญาณเตือนหรืออาการบางประการที่ไม่ได้กล่าวถึงข้างต้น หากมีข้อกังวลใด ๆ เกี่ยวกับอาการหนึ่งที่เกิดขึ้น สามารถขอเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ได้ในทันที
ควรไปพบหมอเมื่อใด
ควรไปพบหมอหากมีสัญญาณเตือนและอาการใด ๆ ที่กล่าวถึงข้างต้น เพราะหากตรวจพบว่าเป็น ควรรีบรักษาตับแข็งแต่เนิ่น ๆ เพื่อป้องกันตับเสียหายมากขึ้น และอาจสามารถรักษาตับเสียหายได้โดยการรักษาเซลล์เนื้อเยื่อตับ
สาเหตุ
สาเหตุของ โรคตับแข็ง
มีสาเหตุหลายประการสำหรับโรคตับแข็ง สาเหตุทั่วไป ได้แก่
- ตับอักเสบซีเรื้อรัง (Chronic hepatitis C)
เป็นภาวะเรื้อรังที่มีการอักเสบของตับซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัส มักแพร่กระจายจากเลือดที่ติดเชื้อผ่านการใช้เข็มร่วมกันหรือการถ่ายเลือด ตับอักเสบซีมักไม่ค่อยแพร่กระจายทางเพศสัมพันธ์หรือการคลอดบุตร
- โรคตับที่สัมพันธ์กับแอลกอฮอล์ (Alcoholic-related liver disease)
โรคตับประเภทนี้เกิดจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป หมายความว่า หากดื่มมากกว่า 2 ถึง 3 หน่วยต่อวันเป็นเวลามากกว่า 10 ถึง 12 ปี มีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะเป็นโรคตับแข็งจากแอลกอฮอล์ (alcoholic cirrhosis)
- โรคไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (Non-alcoholic fatty liver disease ;NAFLD)
ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าไขมันสะสมในตับ (non-alcoholic steatohepatits (NASH)) เกิดขึ้นเมื่อมีไขมันส่วนเกินในตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ สาเหตุบางประการ อาจได้แก่ โรคอ้วน เบาหวานที่ไม่ได้รับการรักษา ความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลสูง และไตรกลีเซอไรด์สูง
- ตับอักเสบบีเรื้อรัง (Chronic hepatitis B)
โดยคล้ายคลึงกับตับอักเสบซี ตับอักเสบบี เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งทำให้เกิดตับอักเสบ พังผืด และตับแข็ง ตับอักเสบบีสามารถแพร่กระจายโดยเลือดที่ติดเชื้อผ่านการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การถ่ายเลือด เพศสัมพันธ์ และการคลอดบุตร แต่ตับอักเสบบีเป็นโรคที่ป้องกันได้ ซึ่งหมายความว่ามีวัคซีนที่ป้องกันการติดเชื้อได้
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงของ โรคตับแข็ง
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจเพิ่มโอกาสการเกิดตับแข็ง มีดังต่อไปนี้
- การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเกินไปเป็นเวลานาน หมายความว่า บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากกว่า 2-4 หน่วยทุกวันเป็นเวลามากกว่า 10 ปี
- การมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกันเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อตับอักเสบบีและอาจติดเชื้อตับอักเสบซี
- การใช้เข็มฉีดยาร่วมกันหรือการถ่ายเลือดสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นตับอักเสบบี และตับอักเสบซี
- โรคตับที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น โรควิลสัน หรือภาวะเหล็กเกิน สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคตับแข็งได้
- ภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนสามารถทำให้เกิดไขมันพอกตับ ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบและตับแข็ง
ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับวิธีการต่า งๆ ในการจัดการความเสี่ยง หากจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสมอาจช่วยป้องกันโรคตับแข็งหรือป้องกันอาการไม่ให้แย่ลงได้
การวินิจฉัยและการรักษาโรค
ข้อมูลที่นำเสนอมิได้ใช้แทนข้อแนะนำทางการแพทย์ ให้ปรึกษาแพทย์เสมอสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัย โรคตับแข็ง
คุณหมอจะวินิจฉัยภาวะตับแข็งโดยการพิจารณาภาวะสุขภาพในปัจจุบัน รวมทั้งทำการตรวจร่างกายและหัตถการหลายประการ การตรวจเพื่อวินิจฉัย อาจได้แก่
- การซักประวัติสุขภาพของครอบครัว การทราบว่าสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคตับหรือไม่จะช่วยให้แพทย์ทำการวินิจฉัยได้อย่างถูกต้อง
- การตรวจร่างกาย คุณหมอจะตรวจร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณช่องท้อง เพื่อตรวจว่าตับโตหรือไม่ หรือมีบริเวณที่แข็งหรือไม่
- การตรวจเลือด การตรวจเลือดสามารถแสดงให้เห็นถึงระดับที่ผิดปกติของเอนไซม์ในตับ เซลล์เม็ดเลือด และเกล็ดเลือด โดยทั่วไป จะมีการตรวจ 3 ประเภทที่สามารถวัดความรุนแรงของความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตับ ได้แก่ การตรวจบิลิรูบิน (bilirubin test) หรือตรวจวัดน้ำดีในเลือด การตรวจครีเอตินิน (creatinine test) หรือตรวจวัดการทำงานของไต และการตรวจวัดความสามารถของร่างกายในการแข็งตัวของเลือด (international normalized ratio test)
- การตรวจโดยใช้ภาพถ่ายอวัยวะ (Imaging tests) การตรวจนี้สามารถตรวจหาอาการแทรกซ้อนที่เกิดจากตับเสียหาย เช่น น้ำในช่องท้อง (ascites) ซึ่งเป็นอาการบวมในช่องท้องที่เกิดจากการสะสมตัวของของเหลว และมะเร็งตับ
- การตัดเนื้อเยื่อตับส่งตรวจ (Liver biopsy) การตรวจนี้เป็นการประเมินความเสียหายของตับโดยการนำตัวอย่างเนื้อเยื่อตับออกมาและตรวจโดยใช้กล้องจุลทรรศน์
การรักษา โรคตับแข็ง
การรักษาโรคตับแข็งขึ้นอยู่กับสาเหตุรวมทั้งภาวะแทรกซ้อนใดๆ ที่เกิดขึ้น เริ่มแรก ควรกำจัดหรือรักษาสาเหตุของตับแข็งก่อน นั่นก็คือ การลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาใดๆ ที่ทำให้ตับเสียหาย
การรักษาตับอักเสบบีและตับอักเสบซีโดยใช้ยาต้านไวรัส (anti-virals) สามารถช่วยจัดการภาวะอักเสบในตับ ซึ่งเป็นการบรรเทาภาวะตับแข็งที่ทำให้ตับเสียหาย หากสาเหตุของตับแข็งเกิดจากท่อน้ำดีอุดตัน คุณหมออาจสั่งยา เออร์โซไดออล (ursodiol) เพื่อแทนที่กรดน้ำดีที่ปกติถูกสังเคราะห์ขึ้นในตับ
กรณีที่คุณหมอพิจารณาแล้วว่าอาการเบื้องต้นของผู่้ป่วยสามารถรักษาด้วยยาปฏิชีวนะไม่ได้ผล อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนมาใช้เทคนิคอื่นๆ ในการรักษาร่วมด้วย เช่น การผ่าตัด การเปลี่ยนทางเดินหลอดเลือด (portacaval shunt) และการปลูกถ่ายตับ (liver transplantation)
นอกจากนี้ อาจจำเป็นต้องรักษาอาการแทรกซ้อนที่สัมพันธ์กับโรคตับแข็งที่อาจเกิดขึ้นอีกด้วย ได้แก่ อาการปวดท้องหรืออาการคัน มีน้ำในช่องท้อง (ascites) ความดันโลหิตสูงในหลอดเลือดดำพอร์ทัล (portal veins) ที่บริเวณช่องท้อง (portal hypertension) ภาวะหลอดเลือดขยายตัว (varices) โรคมะเร็งตับ ภาวะความหนาแน่นของกระดูกลดลง หรือโรคกระดูกพรุน (osteoporosis) นิ่วในถุงน้ำดี (gallstones) และการสูญเสียการทำงานของสมองที่เกิดจากการสะสมตัวของสารพิษ (hepatic encephalopathy) เพราะมิเช่นนั้นภาวะดังกล่าวนี้อาจนำพาให้สุขภาพเริ่มทรุด และแย่ลงกว่าเดิมได้
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตัวเอง
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตัวเองเพื่อรับมือกับ โรคตับแข็ง
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตัวเองดังต่อไปนี้อาจช่วยให้รับมือกับโรคตับแข็งได้ดีขึ้น
- เลิกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- รับประทานอาหารอย่างสมดุล อาจจำเป็นต้องจำกัดโปรตีนเนื่องจากตับอาจไม่สามารถใช้โปรตีนได้
- เปลี่ยนแปลงกิจกรรมต่าง ๆ และพฤติกรรมการใช้วีวิต โดยเน้นการดูแลตัวเองตามคำแนะนำที่เหมาะสม
- ติดต่อคุณหมอหากในระหว่างการรักษา อาจอาเจียนเป็นเลือดหรือถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ หรือมีเลือดสีแดงสดในอุจจาระ รวมทั้งมีของเหลวเพิ่มขึ้นในช่องท้องหรือเท้า หรือมีไข้
หากมีข้อสงสัย โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อให้เข้าใจอย่างละเอียดมากขึ้น และเป็นการนำไปปรับใช้ให้เข้ากับชีวิตประจำวันของคุณได้อย่างลงตัว