ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ หมายถึงผู้ที่มีระดับความดันโลหิต 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป ซึ่งอาจแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ทั้งความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์เรื้อรัง ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษซ้อนทับ และภาวะครรภ์เป็นพิษ ซึ่งล้วนแต่อาจส่งผลกระทบต่อคุณแม่ตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ ดังนั้นจึงควรได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมและทันท่วงที
[embed-health-tool-due-date]
ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ ทั้ง 3 ประเภท
ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์นั้นสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
-
ความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
หมายถึงผู้ที่มีความดันโลหิตสูงหลังจากที่ตั้งครรภ์ โดยที่ก่อนตั้งครรภ์มีระดับความดันโลหิตปกติ มักพบได้ในผู้ที่ตั้งครรภ์ช่วง 20 สัปดาห์ ขึ้นไป บางกรณีอาจหายไปหลังจากที่คลอดบุตร แต่ในบางครั้งก็อาจพัฒนากลายเป็นภาวะครรภ์เป็นพิษได้
-
ความดันโลหิตสูงเรื้อรัง
หมายถึงผู้ที่มีความดันโลหิตสูงตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์ ตลอดมาจนถึงช่วงตั้งครรภ์ โดยส่วนใหญ่มักไม่ค่อยมีอาการใด ๆ
-
ความดันโลหิตสูงเรื้อรังที่มีภาวะครรภ์เป็นพิษซ้อนทับ
ภาวะนี้เกิดอาจขึ้นในสตรีที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงเรื้อรังก่อนตั้งครรภ์อยู่แต่เดิม โดยมีอาการคือระดับความดันโลหิตและโปรตีนในปัสสาวะเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งยังอาจทำให้เกิดให้เกิดภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์อื่น ๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อแม่และทารกในครรภ์
-
ภาวะครรภ์เป็นพิษ
ภาวะครรภ์เป็นพิษเป็นภาวะอันตรายที่อาจเกิดขึ้นหลังจากตั้งครรภ์ได้ 20 สัปดาห์ ทำให้เกิดความเสียหายต่ออวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกาย ทั้งตับ ไต หัวใจ และสมอง หากปล่อยไว้ไม่ทำการรักษาอาจทำให้ทารกในครรภ์เป็นอันตราย และเสียชีวิตลงได้
ปัจจัยเสี่ยงของความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
ปัจจัยที่ก่อให้เกิดความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ มีดังต่อไปนี้
- เบาหวานก่อนการตั้งครรภ์
- โรคไต
- น้ำหนักเกินมาตรฐาน
- ระดับคอเลสเตอรอลสูง
- ความเครียด
- ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่
- การไม่ออกกำลังกาย
- การตั้งครรภ์เมื่ออายุมาก โดยเฉพาะผู้ที่ตั้งครรภ์หลังอายุ 40 ปีขึ้นไป
การจัดการกับความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
การรักษาความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ อาจขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ ซึ่งควรอยู่ภายใต้การดูแลของคุณหมอเท่านั้น ไม่ควรหาซื้อยาลดความดันมารับประทานเอง เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายต่อคุณแม่ตั้งครรภ์และทารกในครรภ์ได้
อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง อาจช่วยควบคุมระดับความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑืที่ปลอดภัยได้ ดังนี้
- ลดการบริโภคเกลือ
- ออกกำลังกายเป็นประจำ แต่ควรเลือกออกกำลังกายเบา ๆ หลีกเลี่ยงการออกแรงหนัก
- เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ธัญพืช ผลไม้
- หยุดสูบบุหรี่ และหยุดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์