หูน้ำหนวก หรือ โรคหูชั้นกลางอักเสบ เป็นภาวะที่เกิดการอักเสบภายในหูชั้นกลาง ส่งผลให้เยื่อแก้วหูบวม หูอื้อ ปวดหู และมีน้ำไหลออกจากหู หากปล่อยไว้นาน และไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม อาจทำให้น้ำหนองไหลออกจากหูมากขึ้น มีกลิ่นเหม็น และแก้วหูเสียหายได้
[embed-health-tool-bmr]
คำจำกัดความ
หูน้ำหนวก คืออะไร
หูน้ำหนวก หรือ โรคหูชั้นกลางอักเสบ คือ การติดเชื้อไวรัส หรือเชื้อแบคทีเรียที่หลังแก้วหู จนส่งผลให้หูชั้นกลางอักเสบ สามารถเกิดขึ้นในหูข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้ง 2 ข้างพร้อมกัน และสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่อาจพบบ่อยในเด็ก เนื่องจากท่อปรับความดันในหูชั้นกลางของเด็กยังพัฒนาไม่สมบูรณ์
หูน้ำหนวกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
- หูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน การติดเชื้อในหูชั้นกลางอาจเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้ในหูอักเสบ บวมแดง มีหนองบริเวณหลังแก้วหู ทั้งยังอาจส่งผลให้มีไข้ และมีอาการเจ็บปวดด้วย
- หูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง เป็นการติดเชื้อในหูชั้นกลางที่อาจเกิดขึ้นซ้ำ ๆ เป็นระยะเวลาหลายเดือน หรืออาจเป็นปี ภาวะหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรังอาจไม่ทำให้เกิดอาการเจ็บปวด หรือมีไข้ แต่อาจทำให้มีของเหลว หรือหนองไหลออกจากช่องหู เสี่ยงเยื่อแก้วหูทะลุ และสูญเสียการได้ยินเล็กน้อย
อาการ
อาการหูน้ำหนวก
อาการหูน้ำหนวกที่พบบ่อยในเด็ก ได้แก่
- มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส
- ปวดศีรษะ
- มีของเหลว หรือหนองไหลออกจากหู
- ร้องไห้มากกว่าปกติ
- เด็กมักดึงหูตัวเอง
- เบื่ออาหาร
อาการหูน้ำหนวกในผู้ใหญ่ ได้แก่
- ปวดหู
- มีหนองหรือของเหลวไหลออกจากหู
- มีปัญหาในการได้ยิน
สาเหตุ
สาเหตุของ หูน้ำหนวก
การติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส ที่มาจากไข้หวัด โรคภูมิแพ้ เป็นต้น ในหูชั้นกลาง อาจส่งผลให้ระคายเคือง และหากท่อยูสเตเชียน ซึ่งเป็นท่อที่เชื่อมกับหูชั้นกลาง หลังโพรงจมูก และลำคอ มีส่วนช่วยลดแรงดันระหว่างหูชั้นนอก หูชั้นใน ช่วยระบายสารคัดหลั่งจากหูชั้นกลางออก เกิดภาวะบวม หรืออุดตัน ของเหลวที่สะสมอยู่ในหูชั้นกลางอาจติดเชื้อ และทำให้หูชั้นกลางอักเสบได้
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงของหูน้ำหนวก
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลให้เป็นหูน้ำหนวก มีดังนี้
- อายุ เด็กในช่วงอายุ 6 เดือนถึง 2 ปี อาจเสี่ยงเกิดหูน้ำหนวกได้ง่าย เนื่องจากท่อยูสเตเชียน และระบบภูมิคุ้มกันยังพัฒนาไม่สมบูรณ์
- การป้อนอาหารทารก ทารกที่ดื่มนมจากขวด อาจมีแนวโน้มหูติดเชื้อมากกว่าทารกที่กินนมแม่
- โรคปากแหว่งเพดานโหว่ เป็นภาวะที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างกระดูก และกล้ามเนื้อในเด็ก ซึ่งโรคนี้อาจทำให้ท่อยูสเตเชียนระบายสารคัดหลั่งได้ยากขึ้น
- สถานรับเลี้ยงเด็ก การดูแลเด็กหลายคนในพื้นที่เดียวกัน อาจทำให้การเกิดการติดเชื้อ เช่น ไข้หวัด หูอักเสบ ได้ง่ายขึ้น
- การรับควันบุหรี่หรือมลพิษทางอากาศ อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะหูชั้นกลางอักเสบ
- สภาพอากาศ การติดเชื้อที่หูอาจเกิดขึ้นบ่อยในฤดูหนาว หรือสภาพอากาศที่หนาวเย็น ผู้ที่เป็นภูมิแพ้อากาศอาจเสี่ยงเกิดภาวะหูชั้นกลางติดเชื้อมากขึ้น
การวินิจฉัยและการรักษา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยอาการหูน้ำหนวก
การวินิจฉัยหาสาเหตุของการติดเชื้อที่ทำให้หูชั้นกลางอักเสบ คุณหมออาจใช้เครื่องตรวจหูส่องช่องหู เพื่อดูว่าแก้วหูมีหนองหรือไม่ และอาจใช้วิธีการตรวจรูปแบบอื่น ๆ ร่วมด้วย ดังนี้
- การตรวจการทำงานของหูชั้นกลาง (Tympanometry) เพื่อวัดการทำเคลื่อนไหวของแก้วหู และระดับความดันในหูชั้นกลาง
- การตรวจปฏิกิริยาาสะท้อนกลับของกล้ามเนื้อในหูชั้นกลาง (Acoustic reflectometry) เพื่อเช็กว่ามีเสียงสะท้อนออกมาจากแก้วหูมากน้อยเพียงใด โดยปกติแก้วหูจะดูดซับเสียง ยิ่งความดันของเหลวในหูชั้นกลางมากเท่าใด แก้วหูก็จะยิ่งสะท้อนเสียงได้มาก
- การเจาะเยื่อแก้วหู (Tympanocentesis) คุณหมออาจใช้ท่อเล็ก ๆ เจาะแก้วหูเพื่อระบายของเหลวออกจากหูชั้นกลาง แล้วนำของเหลวมาตรวจหาเชื้อไวรัส หรือเชื้อแบคทีเรีย
การรักษาอาการหูน้ำหนวก
วิธีรักษาอาการหูน้ำหนวก เช่น
- ยาปฏิชีวนะ ในรูปแบบรับประทาน และแบบยาหยอดในช่องหู
- ยาแก้ปวด ยาหดหลอดเลือด
- การใส่ท่อขนาดเล็กภายในหู เพื่อเปิดแก้วหู ไม่ให้ของเหลวสะสมในหูชั้นกลางมากจนเกินไป
- การผ่าตัดปะเยื่อแก้วหู ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นหูน้ำหนวกเรื้อรัง เพื่อป้องกันไม่ให้หูชั้นกลางติดเชื้อบ่อย ๆ
สำหรับเด็กที่เป็นหูน้ำหนวก คุณหมออาจรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ และรักษาตามอาการในเบื้องต้น เนื่องจากเด็กอาจมีอาการแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น มีไข้สูง ปวดหู
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเอง
การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการดูแลตัวเองเพื่อป้องกันหูน้ำหนวก
การลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะหูชั้นกลางติดเชื้อจนทำให้เป็นโรคหูน้ำหนวก ได้แก่
- ป้องกันโรคหวัด ด้วยการล้างมือบ่อย ๆ งดการรับประทานอาหารและเครื่องดื่มร่วมกัน ไอจามอย่างระมัดระวัง เพื่อป้องกันเชื้อโรคแพร่กระจาย
- หลีกเลี่ยงการสูดดมควันบุหรี่
- รับวัคซีนป้องกันโรคปอดบวม ไข้หวัดใหญ่ หรือไข้หวัดตามฤดูกาล เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อที่หู
สำหรับทารกแรกเกิด คุณแม่ควรให้กินนมแม่อย่างน้อย 6 เดือน เพราะนมแม่มีแอนติบอดี ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน