ภูมิแพ้ยา (Drug Allergy) หรือการแพ้ยา หมายถึง ปฏิกิริยาที่ไม่ปกติของระบบภูมิคุ้มกันต่อยา ยาใด ๆ รวมถึงยาที่ซื้อเองตามร้าน ยาตามคำสั่งแพทย์หรือสมุนไพรอาจจะทำให้แพ้ยาได้
คำจำกัดความ
ภูมิแพ้ยา คืออะไร
ภูมิแพ้ยา หรือการแพ้ยา (Drug allergy) หมายถึง ปฏิกิริยาที่ไม่ปกติของระบบภูมิคุ้มกันต่อยาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นยาที่ซื้อเองตามร้าน ยาตามคำสั่งแพทย์ หรือสมุนไพร ก็อาจทำให้แพ้ยาได้
อาการแพ้ยาอาจจะแตกต่างกันในแต่ละคน อาการทั่วไปของการแพ้ยา คือ ลมพิษ เป็นผื่นคัน หรือเป็นไข้ มีอาการรุนแรงรวมถึงปฎิกิริยาภูมิแพ้เฉียบพลันรุนแรง อาการช็อก และความดันโลหิตต่ำลงทันที และหลอดลมรัดตัวแน่น การแพ้ยาไมใช่ผลข้างเคียงของยาและไม่ใช่สถานะที่เกิดจากการรับประทานยาเกินขนาด
ภูมิแพ้ยาพบได้บ่อยแค่ไหน
ภูมิแพ้ยา หรืออาการแพ้ยาสามารถเกิดได้กับทุกคน แต่โชคร้ายที่ไม่มีวิธีการตรวจสอบว่าคุณแพ้ยาหรือไม่ ในหลายกรณี คนไข้ต้องเรียนรู้เกี่ยวกับการแพ้ยาหลังจากใช้ยานั้น ภูมิแพ้ยาสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
อาการ
อาการของภูมิแพ้ยา
อาการของการแพ้ยาโดยมากจะเกิดขึ้นภายใน 1 ชั่วโมงหลังจากรับประทานยา อาการทั่วไปของการแพ้ยา คือ
- เป็นผื่นที่ผิวหนัง
- ลมพิษ
- คัน
- เป็นไข้
- บวม
- หายใจไม่อิ่ม
- หายใจลำบากและมีเสียงฟืดฟาดหรือฮืดฮาด
- น้ำมูกไหล
- คันตา น้ำตาไหล
ยาบางประเภทอาจทำให้เกิดปฏิกิริยาที่รุนแรงในบางคน อาการที่รุนแรงมากขึ้นดังต่อไปนี้ จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาทางการแพทย์ทันที
- หัวใจหรือชีพจรเต้นเร็ว
- หลอดลมรัดแน่นและลำคอจุก หายใจลำบาก
- มีความกังวลหรือวิงเวียนศีรษะ
- เสียสติ
- ลมพิษ หรือหายใจลำบาก
อย่างไรก็ตาม ปฏิกิริยาของการแพ้ยาอาจเกิดขึ้นหลายวันถึงหลายสัปดาห์หลังจากรับยา หรือเกิดขึ้นต่อเนื่องแม้จะหยุดใช้ยาแล้ว อาการจากภูมิแพ้ยาที่มักเกิดขึ้นในระยะยาว ได้แก่
- เป็นไข้ ปวดข้อ เป็นผื่น บวม และคลื่นไส้
- โลหิตจาง เมื่อเม็ดเลือดแดงลดลงจะทำให้เหนื่อยล้า หัวใจเต้นผิดจังหวะ หายใจไม่อิ่ม เป็นต้น
- ผื่น จำนวนเม็ดเลือดขาวสูง มีอาการบวม ต่อมน้ำเหลืองโต และติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ
- ไตอักเสบ ทำให้เป็นไข้ มีเลือดในปัสสาวะ ตัวบวม เกิดอาการสับสน เป็นต้น
สำหรับผู้ป่วยบางราย อาจมีสิ่งบ่งชี้หรืออาการนอกเหนือจากที่ระบุไว้ข้างต้น หากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการต่างๆ โปรดปรึกษาคุณหมอ
ควรไปพบคุณหมอเมื่อใด
การแพ้ยาอาจทำให้มีอาการเบาๆ ไปจนถึงอาการที่รุนแรงคุกคามชีวิต หากมีอาการต่อไปนี้ โปรดเข้ารับการรักษาทันที
- มีผิวแดง เจ็บปวด หรือมีแผลพองที่ผิวหนัง
- ผิวชั้นนอกซีดโดยไม่มีแผลพอง
- ผิวหมองคล้ำ
- ไม่สบาย
- เป็นไข้
- เป็นผื่น หรือเป็นแผลพุพองที่ตา ปากและอวัยวะเพศ
หากเกิดปฏิกิริยารุนแรง ซึ่งส่งผลต่อความดันโลหิตและการหายใจ ควรเข้ารับการรักษาพยาบาลฉุกเฉินทันที
สาเหตุ
สาเหตุของภูมิแพ้ยา
การแพ้ยาเป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นกับระบบภูมิคุ้มกันหลังจากการใช้ยาชนิดใดชนิดหนึ่ง หรือเกิดจากการใช้ยาผิดซึ่งเป็นสารเคมีอันตราย และเริ่มจะส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน นักวิทยาศาสตร์มักจะเชื่อมโยงการแพ้ยากับการเข้าถึงของยา เช่น ในอาหาร ในน้ำ หรือยาที่คุณใช้ในสถานะต่างๆ หากระบบภูมิคุ้มกันทำปฏิกิริยาไม่ดีต่อยาในการเข้าถึงครั้งแรก ร่างกายของคุณจะสร้างภูมิต้านทานทำให้เกิดการแพ้ยาได้
ยาทุกประเภทสามารถก่อให้เกิดอาการแพ้ยาได้ แต่พบว่า มีผู้แพ้ยาดังต่อไปนี้มากกว่ายาประเภทอื่น
- ยาแก้อักเสบ เช่น เพนิซิลลิน
- แอสไพรินและกลุ่มยาแก้ปวด ยาลดไข้ และยาต้านการอักเสบที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ
- ยาเคมีบำบัด เพื่อรักษามะเร็ง
- ยาเพื่อรักษาโรคทางด้านภูมิคุ้มกัน เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
- ครีมหรือโลชั่นคอร์ติโคสเตียรอยด์
- ยาสำหรับผู้ติดเชื้อ HIV หรือผู้ป่วยโรคเอดส์
- ผลิตภัณฑ์เกสรผึ้ง
- เอ็กไคนาเซีย (Echinacea) ซึ่งเป็นสมุนไพรที่ใช้ในการรักษาโรคหวัด
- สีย้อมที่ใช้ในการทดสอบภาพ (สารทึบรังสี)
- โอปิเอตที่ใช้ในการรักษาอาการเจ็บปวด
- ยาสลบใช้เฉพาะที่
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงของการแพ้ยา
มีปัจจัยความเสี่ยงมากมายเกี่ยวกับการแพ้ยา ได้แก่
- ประวัติการแพ้อื่นๆ เช่น แพ้อาหาร เป็นไข้
- ประวัติปฏิกิริยาการแพ้ยาอื่น หรือส่วนประกอบที่สำคัญอย่างเดียวกัน
- ประวัติคนในครอบครัวที่แพ้ยา
- การใช้ยาเกินขนาด ใช้ยาซ้ำๆ หรือใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน
- การติดเชื้อเอชไอวีหรือไวรัสเอ็บสไตบาร์
โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยและการรักษาโรค
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยภูมิแพ้ยา
- การทดสอบทางกายภาพ แพทย์จะตรวจสอบปฏิกิริยาทางกายภาพ เช่น สัญญาณของผื่นคันและแผลพุพอง หรือฟังการเต้นของหัวใจและเช็คหลอดลมของคุณ
- การซักประวัติ แพทย์จะถามคำถามเกี่ยวกับประวัติการแพ้ ประวัติการแพทย์ สภาวะทางการแพทย์ที่เป็นอยู่ หากคุณแพ้ยาอื่นที่มีส่วนประกอบเดียวกัน คุณเพิ่มความเสี่ยงในการแพ้ยาชนิดเดียวกันมากขึ้น
- การทดสอบในห้องปฏิบัติการ แพทย์อาจสั่งให้ทำการทดสอบในห้องปฏิบัติการ เพื่อหาส่วนประกอบของยาที่คุณแพ้
- การทดสอบเพิ่มเติม เช่น การทดสอบผิวหนัง การตรวจเลือด
การรักษาภูมิแพ้ยา
การแพ้ยาสามารถรักษาได้ด้วยการลดอาการแพ้ หรือการรักษาอื่นๆ ที่ช่วยให้คุณสามารถรับยาที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้
คุณสามารถรักษาอาการแพ้ยาได้โดย
- หยุดการใช้ยาที่ทำให้เกิดอาการแพ้
- รับยาต้านฮิสตามีน เพื่อต้านการกระตุ้นสารระบบภูมิค้มกันระหว่างที่เกิดปฏิกิริยาการแพ้
- รับคอร์ติโคสเตียรอยด์ เพื่อรักษาการอักเสบที่เกิดขึ้น และเป็นปฏิกิริยาที่รุนแรงมากขึ้น
- รับยาฉีดเอพิเนฟรีนทันที และรีบเข้ารับการรักษาฉุกเฉินที่โรงพยาบาล เพื่อรักษาระดับความดันและช่วยด้านการหายใจ
นอกจากนี้ แพทย์อาจรักษาโดยให้คุณรับยาที่ทำให้เกิดการแพ้ แต่ต้องอยู่ภายใต้การสังเกตการณ์ของแพทย์ จุดประสงค์ในการรักษาก็เพื่อช่วยให้คุณตอบสนองต่อยาน้อยลง
- เริ่มจากการใช้ปริมาณยาน้อยๆ และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุก 15 ถึง 30 นาทีหรือทุกหลายชั่วโมงหรือทุกชั่วโมงจนกว่าจะไม่มีปฏิกิริยาเกิดขึ้น
- ทดสอบเพื่อดูว่า คุณเริ่มมีปฏิกิริยาการแพ้ที่ขนาดยาเท่าใด
การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตนเอง
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตัวเองเพื่อรับมือกับภูมิแพ้ยา
- หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นภูมิแพ้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
- หากเป็นไปได้ ควรพกเครื่องมือฉีดยาอัตโนมัติติดตัวเสมอ เช่น เครื่องฉีดเอพิเนฟรีนอัตโนมัติ
- ใช้ยาเพรดนิโซนหรือยาต้านฮิสตามิน
- ระวังอย่าให้แมลงสัตว์กัดต่อย
- อ่านฉลากอาหารให้ละเอียดก่อนรับประทาน
หากคุณมีข้อสงสัย โปรดปรึกษาแพทย์ เพื่อให้เข้าใจถึงวิธีการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับคุณได้ดีขึ้น
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำปรึกษาด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
[embed-health-tool-bmr]