เรื่องของมะเร็งผิวหนัง เป็นเรื่องที่หลาย ๆ คนควรให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากในปัจจุบันผิวของเรานั้นจำเป็นต้องโดนกับแสงแดดที่แสนจะร้อนจนแสบผิวและการที่ผิวต้องถูกรังสีจากแสงแดดทำลายเป็นประจำอาจนำไปสู่ โรคมะเร็งผิวหนัง (Skin Cancer) ได้ แต่คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณกำลังเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง บทความนี้ Hello คุณหมอ จึงได้รวบรวม สัญญาณเตือนของผิวหนัง สามารถบอกได้ว่าคุณอาจจะเป็นมะเร็งผิวหนัง มาให้คุณได้สำรวจตนเองกัน
สัญญาณเตือนของผิวหนัง ที่เกี่ยวกับมะเร็งผิวหนังมีอะไรบ้าง
สิ่งสำคัญที่สุดในการสังเกต สัญญาณเตือนของผิวหนัง คือคุณจำเป็นจะต้องทำความรู้จักกับผิวของคุณให้มาก และพยายามสังเกตการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นกับผิวของคุณ คุณควรสร้างนิสัยในการตรวจสอบผิวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อหาจุด กระ หรือไฝ ที่อาจจะมีเพิ่มขึ้นมา โดยปกติแล้วมะเร็งผิวหนังนั้นมักไม่ค่อยมีอาการเจ็บแสดงออกมาให้ได้รู้สึก
บางคนอาจจะยังไม่รู้ว่าเมื่อผิวมีการเปลี่ยนไป มันคือสัญญาณเตือนของผิวหนัง ดังนั้น ลองมาดูกันดีกว่าว่า สัญญาณเตือนของผิวหนัง ที่เกี่ยวกับมะเร็งผิวหนังนั้นมีอะไรบ้าง
สัญญาณเตือนมะเร็งผิวหนัง ชนิดเบซาลเซลล์ (Basal Cell Carcinoma หรือ BCC)
มะเร็งผิวหนังชนิดเบซาลเซลล์ (Basal cell Carcinoma หรือ BCC) มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่ได้รับแสงแดดเป็นจำนวนมาก เช่น ใบหน้า ศีรษะ และลำคอ ผิวของบางคนอาจจะดูเหมือนผิวปกติทั่วไป แต่สำหรับผู้ที่อาจจะเป็นมะเร็งผิวหนังชนิดเบซาลเซลล์ จะมีลักษณะที่โดดเด่นกว่า โดยทางสมาคมโรคมะเร็งแห่งสหรัฐอเมริกา (American Cancer Society หรือ ACS) ได้ระบุเอาไว้ ดังนี้
- บริเวณผิวอาจเรียบ ตึง ซีด หรือเหลือง จะมีลักษณะคล้ายกับแผลเป็น
- ผิวหนังที่นูนขึ้นมาจะเป็นสีแดง ซึ่งอาจมีอาการคันหรือระคายเคืองร่วมด้วย
- รอยกระแทกเล็ก ๆ อาจจะกลายเป็นสีชมพู แดง เป็นฝ้า หรือมันวาว ซึ่งอาจจะมีรอยสีฟ้า น้ำตาล หรือดำ ประกอบอยู่ด้วย
- การเจริญเติบโตของรอยที่ชมพูที่เกิดขึ้นบนผิวหนัง จะมีขอบนูนขึ้นเล็กน้อย อาจจะมีเส้นเลือดเล็ก ๆ ที่ลักษณะเหมือนซี่ล้อไหลผ่านตรงกลางรอยที่เกิดขึ้น
- การรักษาแผลที่เป็นแผลเปิดหรือแผลที่มีเลือดออก ไม่สามารถรักษาได้ ทั้งยังอาจจะเกิดหนองบริเวณแผลที่เปิดอยู่ได้ด้วย
- บริเวณผิวที่บอบบางจะมีเลือดออกได้ง่าย ตัวอย่างเช่น มีอาการเจ็บ หรือแผลที่เกิดขึ้นจากการโกนขนจะอยู่นานกว่า 1 สัปดาห์กว่าจะหาย
มะเร็งผิวหนังที่เติบโตช้าเหล่านี้ ยังสามารถปล่อยไว้ได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ถ้ามันเริ่มมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น คัน และมีเลือดออก หรือได้รับบาดเจ็บ ควรจะต้องไปพบคุณหมอผู้เชี่ยวชาญโดยทันที เพื่อจะได้รับการวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที
สัญญาณเตือนมะเร็งผิวหนัง ชนิดสเควมัสเซลล์ (Squamous Cell Carcinoma)
สเควมัสเซลล์ เป็นเซลล์มะเร็งต้นกำเนิดที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายที่ได้รับแสงแดดเป็นจำนวนมาก เช่น ใบหน้า คอ หู ริมฝีปาก และหลังมือ นอกจากนั้น มันอาจจะปรากฏในรูปแบบของรอยแผลเป็นหรือแผลที่ผิวหนังบริเวณส่วนใดก็ได้ในร่างกาย
ในขณะที่สเควมัสเซลล์อาจจะมีลักษณะการเกิดขึ้นใกล้เคียงกับผิวที่มีสุขภาพดี แต่ก็อาจจะมีสัญญาณบางอย่างของมะเร็งที่จะชัดเจนขึ้นได้เห็น ซึ่งสัญญาณเหล่านั้นได้แก่
- รอยแดงหยาบหรือเป็นสะเก็ดที่อาจจะมีเลือดออก
- บางครั้งก้อนเนื้อที่เกิดขึ้นบนผิวหนังจะสามารถเจริญเติบโตได้ และอาจจะมีหลุมอยู่ตรงกลาง
- การรักษาแผลที่เป็นแผลเปิดหรือแผลที่มีเลือดออก ไม่สามารถรักษาได้ ทั้งยังอาจจะเกิดหนองบริเวณแผลที่เปิดอยู่ได้ด้วย
- มีการเจริญเติบโตที่คล้ายกับหูด
สภาพผิวหนังบางอย่างอาจจะเป็นสารตั้งต้นที่ทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังชนิดสเควมัสเซลล์ ซึ่งสามารถสังเกตได้ดังนี้
- ทาง Harvard Medical School กล่าวว่าการมีประวัติเป็นหูดที่อวัยวะเพศ อาจมีปัจจัยเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งผิวหนังชนิดสเควมัสในบริเวณอวัยวะเพศ
- ผื่นแอกทินิกเคอราโทซิส (Actinic keratosis) อาจจะมีลักษณะเป็นแผลขนาดเล็ก หยาบ หรือมีลักษณะเป็นเกล็ด ซึ่งจะมีขนาดตั้งแต่จุดเล็ก ๆ ไปจนถึงก้อนที่มีความกว้างมากกว่า 1 นิ้ว มันอาจจะมีลักษณะเป็นผิวสีเข้มหรือสีอ่อน นอกจากนั้นยังอาจเป็นสีอื่น ๆ ได้อีกด้วย เช่น สีแทน สีชมพู และสีแดง เป็นต้น
- รูปแบบของผื่นแอกทินิกเคอราโทซิส หรือที่เรียกว่า “ริมฝีปากอักเสบเหตุแสงแดด (Actinic Cheilitis)” จะมีผลต่อริมฝีปากล่าง และอาจนำไปสู่รอยแตกและการเปลี่ยนสีเป็นสีขาว
- โรคฝ้าขาว (Leukoplakia) จะทำให้เกิดรอบสีขาวบนลิ้น เหงือก แก้ม และเยื่อเมือกอื่น ๆ ในช่องปาก
- ผิวอาจจะมีลักษณะเป็นสีน้ำตาลแดง เป็นสะเก็ดคล้ายๆ กลากบนผิวหนังที่โดนแดด เยื่อบุจมูกหรื่อปาก รวมไปถึงอวัยวะเพศ อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคโบเวน (Bowen’s Disease) ได้
สัญญาณเตือนมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา (Melanoma)
เนื้องอกสามารถพัฒนาได้ทุกที่บนผิวหนัง แต่มีแนวโน้มที่จะเริ่มบริเวณหน้าอกและหลังในผู้ชาย และบริเวณขาในผู้หญิง ปกติแล้วคนอเมริกันผิวดำนั้นมีโอกาสจะเป็นมะเร็งผิวหนังน้อยกว้าคนผิวขาวอย่างมีนัยสำคัญ แต่เมื่อพวกเขาเป็นมะเร็ง มันอาจจะมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และใต้เล็บได้
ทาง American Academy of Dermatology Association หรือ AAD กล่าวว่า เซลล์มะเร็งผิวหนังส่วนใหญ่ ยังคงสร้างเม็ดสีเมลานิน (melanin) ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นบนผิวหนังจึงมักเป็นสีแทน สีดำ หรือสีน้ำตาล แต่มันก็สามารถเป็นสีอื่น อย่าง สีแดง สีขาว หรือสีน้ำเงินได้เช่นกัน
วิธีพื้นฐานที่ดีที่สุดในการระบุจุดที่อาจจะเป็นเนื้องอก ก็คือ การใช้วิธีสังเกตว่า จุดใดบนตัวที่ดูแตกต่างจากจุดอื่น ๆ ที่อยู่รอบ ๆ หรือไม่ เช่น อาจมีขนาดใหญ่หรือสีเข้มขึ้น อาจเป็นไฝสีแดงขนาดเล็กที่ล้อมด้วยไฝสีน้ำตาลที่ใหญ่กว่า
นอกจากนั้น ระบบ ABCDE ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีในการประเมินว่าไฝหรือจุดอื่น ๆ นั้น น่าเป็นห่วงหรือไม่ โดย ABCDE เป็นคำย่อตัวอักษรแต่ละตัว ซึ่งหมายถึงสัญญาณเตือนของเนื้องอก ดังนี้
- A (Asymmetry) ความไม่สมมาตรของรูปร่าง โดยครึ่งหนึ่งจะไม่ตรงกับอีกครึ่งหนึ่ง
- B (Border) เส้นขอบมีลักษณะเว้าแหว่ง หรือมีรอยบาก
- C (Color) สีจะมีหลายเฉดสี ได้แก่ น้ำตาล ดำ แดง น้ำเงิน หรือขาว
- D (Diameter) เส้นผ่านศูนย์กลาง โดยจุดนั้นจะใหญ่กว่ายางลบบนดินสอประมาณ ¼ นิ้ว แม้ว่าจุดที่เป็นมะเร็งจะมีขนาดเล็กกว่าหากตรวจพบได้เร็ว
- E (Elevation above skin level) การพัฒนา มีการเปลี่ยนแปลงขนาด สี รูปร่าง และระดับความสูง
เนื้องอกบางชนิดจะอาจจะไม่ตรงตามวิธีการประเมินแบบ ABCDE แต่อาจจะมีสัญญาณอันตรายอย่างอื่น ๆ ได้แก่
- อาการเจ็บที่ไม่หาย
- การแพร่กระจายของเม็ดสี จากขอบของจุดที่เกิดขึ้นเข้าสู้ผิวหนังรอบๆ
- รอยแดงหรือบวมที่เกิดขึ้นใหม่ ซึ่งเกินจากขอบของจุด
- ความรู้สึกที่เปลี่ยนไป เช่น อาการคัน กดแล้วรู้สึกเจ็บ และอาการเจ็บปวด
- การเปลี่ยนแปลงของบริเวณที่เกิดไฝ ได้แก่ น้ำเหลืองเยิ้ม เลือดออก การตกสะเก็ด รวมถึงมีตุ่มหรือติ่งปรากฏขึ้นมา
หากคุณกำลังรู้สึกว่าตัวเองอาจจะเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง ควรจะรีบไปพบคุณหมอผู้เชี่ยวชาญโดยเร็วที่สุด เพราะการวินิจฉัยและรักษามะเร็งผิวหนังได้เร็วเท่าไร โอกาสในการหลีกเลี่ยงการผ่าตัดก็จะมีมากขึ้นเท่านั้น ส่วนในกรณีของมะเร็งผิวหนังชนิดร้ายแรงหรือมะเร็งผิวหนังชนิดอื่น ๆ อาจทำให้เสี่ยงต่อการเสียโฉม หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตได้