GDMA1 คืออะไร? GDMA1 คือภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ชนิด A1 ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด และเมื่อตรวจเจอแล้ว คุณหมอจะแนะนำให้ดูแลตัวเองด้วยการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย เพื่อรักษาให้ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณเเม่อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม เเละ ป้องกันการเกิดภาวะเเทรกซ้อนที่อาจส่งผลกระทบต่อทั้งสุขภาพของคุณเเม่และทารกในครรภ์
[embed-health-tool-due-date]
GDMA1 คืออะไร
GDMA1 ย่อมาจาก Gestational Diabetes Mellitus A1 หมายถึง ภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ชนิด A1 ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด หรือราว 90 เปอร์เซ็นต์ของภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ทั้งหมด
นอกจาก A1 แล้ว เบาหวานขณะตั้งครรภ์ยังมีอีกชนิด คือ A2 โดยข้อแตกต่างระหว่าง 2 ชนิดนี้คือ หากคุณเเม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้เองโดยไม่ต้องใช้ยา จะนับเป็นชนิด A1 เเต่หากปรับพฤติกรรมสุขภาพเเล้วยังไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ จำเป็นต้องใช้ยารักษาร่วมด้วย จะนับเป็นชนิด A2
ทั้งนี้ เบาหวานขณะตั้งครรภ์มักพบได้ในอัตรา 2-10 เปอร์เซ็นต์ ของคุณเเม่ที่ตั้งครรภ์ทั้งหมด และมักเป็นเพียงชั่วคราว กล่าวคือ ภาวะเบาหวานจะหายได้เองหลังคลอดบุตร
เนื่องจากสาเหตุของภาวะนี้ คือ ฮอร์โมนฮิวแมน พลาเซนต้า แลกโตรเจน (Human Placental Lactogen หรือ HPL) ซึ่งหลั่งจากรก และมีคุณสมบัติต้านฤทธิ์กับฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนหลักที่ควบคุมสมดุลระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้สูงเกินไป
GDMA1 ตรวจเจอได้อย่างไร
เบาหวานขณะตั้งครรภ์ เป็นภาวะที่สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกระยะของการตั้งครรภ์ (ส่วนมากเเล้วมักพบในคุณเเม่ที่มีอายุครรภ์ในไตรมาส 2 เเละ 3) โดยทั่วไป คุณหมอมักจะทำการตรวจคัดกรองภาวะนี้ในช่วงอายุครรภ์ 24-28 สัปดาห์
สำหรับวิธีการตรวจนั้น จะแบ่งเป็น 2 ขั้นตอน โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
Glucose Challenge Test หรือ Glucose Tolerance Test
Glucose Challenge Test หรือ Glucose Tolerance Test คือ การตรวจความสามารถในการจัดการน้ำตาลของร่างกาย เเละเป็นวิธีที่ใช้ในการตรวจคัดกรองภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ เเบ่งเป็น 2 ขั้นตอนดังนี้
ขั้นตอนที่ 1
คุณเเม่ที่เข้ารับการตรวจไม่จำป็นต้องงดอาหารมา จากนั้นคุณหมอจะให้ดื่มสารละลายกลูโคส 50 กรัม แล้วรอเป็นเวลา 1 ชั่วโมง โดยระหว่างนี้จะห้ามรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มใด ๆ จากนั้นจึงเจาะเลือดเพื่อตรวจระดับน้ำตาล ซึ่งแปลผลได้ ดังนี้
- ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 140 มิลลิกรัม/เดซิลิตร สุขภาพปกติ ไม่มีภาวะเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์
- ระดับน้ำตาลในเลือดอยู่ระหว่างสูงตั้งเเต่ 140 มิลลิกรัม/เดซิลิตรขึ้นไป นับว่ามีความเสี่ยงที่จะมีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจยืนยันในขั้นตอนที่ 2 โดยคุณหมอจะนัดมาตรวจซ้ำในวันถัด ๆ ไป
ขั้นตอนที่ 2
การตรวจขั้นตอนนี้ คุณเเม่จะต้องงดอาหารมาอย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนเจาะเลือด และมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
- รับการเจาะเลือดตรวจระดับน้ำตาลครั้งเเรก
- ดื่มสารละลายกลูโคส 100 กรัม และงดอาหารและน้ำเป็นเวลา 3 ชั่วโมง
- จากนั้นทุก ๆ 1 ชั่วโมงได้เเก่ชั่วโมงที่ 1, 2 เเละ 3 คุณหมอจะเจาะเลือดเพื่อตรวจระดับน้ำตาลหลังกลืนน้ำตาลหากค่าระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าเกณฑ์ต่อไปนี้ตั้งแต่ 2 ค่าขึ้นไป จะวินิจฉัยว่ามีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์
- ระดับน้ำตาลในเลือดหลังงดอาหาร ควรน้อยกว่า 95 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
- ระดับน้ำตาลในเลือดหลังดื่มสารละลายกลูโคส 1 ชั่วโมง ควรน้อยกว่า 180 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
- ระดับน้ำตาลในเลือดหลังดื่มสารละลายกลูโคส 2 ชั่วโมง ควรน้อยกว่า 155 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
- ระดับน้ำตาลในเลือดหลังดื่มสารละลายกลูโคส 3 ชั่วโมง ควรน้อยกว่า 140 มิลลิกรัม/เดซิลิตร
ใครบ้างที่เสี่ยงเป็น GDMA1
คุณเเม่ที่มีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ คือ
- อายุมากกว่า 25 ปี (ดังนั้นคุณเเม่ที่มีอายุมากกว่า 25 ปีทุกคน จึงจำเป็นต้องเข้ารับการตรวจคัดกรองเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์)
- ดัชนีมวลกายก่อนตั้งครรภ์ มากกว่า 22.9 ในคนเอเชีย
- ไม่ค่อยออกกำลังกาย
- เคยคลอดบุตรที่น้ำหนักตัวตั้งเเต่ 4 กิโลกรัมขึ้นไป
- เคยเป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์มาก่อน
- มีคนในครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน
- มีภาวะสุขภาพที่สัมพันธ์กับการเป็นโรคเบาหวานในอนาคต เช่น เมแทบอลิก ซินโดรม (Metabolic Syndrome)
ทั้งนี้ คุณหมอจะแนะนำให้คุณเเม่ที่มีความเสี่ยงของภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์ เข้ารับการตรวจคัดกรองในช่วงสัปดาห์ที่ 24-28 ของการตั้งครรภ์
GDMA1 ส่งผลต่อคุณเเม่และทารกในครรภ์อย่างไร
การเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ทั้งชนิด A1 หรือ A2 อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของคุณเเม่ รวมถึงทารกในครรภ์ ได้ดังนี้
ผลกระทบต่อสุขภาพของคุณเเม่
- เพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษ (Preeclampsia) ซึ่งเป็นภาวะที่รุนเเรงและอาจทำให้เเท้งบุตร เเละ คุณเเม่มีอากาารชัก หรือ ถึงเเก่ชีวิตได้
- เพิ่มความเสี่ยงต่อการพัฒนาเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคต
ผลกระทบต่อทารกในครรภ์
- ทารกอาจมีน้ำหนักตัวมากและขนาดตัวใหญ่กว่าปกติ ส่งผลให้คลอดแบบธรรมชาติได้ยาก เกิดภาวะเเทรกซ้อนระหว่างคลอดมากขึ้น หรืออาจต้องใช้วิธีผ่าคลอด
- เพิ่มความเสี่ยงภาวะน้ำคร่ำมากผิดปกติ (Polyhydramnios) ซึ่งอาจทำให้ทารกคลอดก่อนกำหนด
- เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำของทารกเเรกคลอดซึ่งอาจรุนเเรงจนทำให้ชัก ซึม หรือ เสียชีวิตได้
- เพิ่มความเสี่ยงของโรคอ้วน เเละโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ในอนาคต เมื่อทารกเติบโต