Hypoglycemia คือ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำกว่าปกติ พบบ่อยในผู้ป่วยเบาหวาน มีสาเหตุจากการรักษาด้วยยาชนิดรับประทานหรือยาฉีดเบาหวาน อาการของ Hypoglycemia ที่อาจพบได้คือ ใจเต้นเร็ว เวียนหัว ตาพร่ามัว หิวบ่อย และในกรณีของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำขั้นรุนแรง หากไม่ได้รับการรักษาทันเวลา อาจชัก หมดสติ หรือเสียชีวิตได้
[embed-health-tool-bmr]
คำจำกัดความ
Hypoglycemia คืออะไร
Hypoglycemia หมายถึง ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ พบได้ในผู้ป่วยเบาหวานทั้งชนิดที่ 1 และ 2 เนื่องจากผู้ป่วยเบาหวานต้องรักษาระดับน้ำตาลในเลือดด้วยการฉีดอินซูลิน ทั้งนี้ อาจเกิดกับผู้ที่ไม่ได้เป็นเบาหวาน แต่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคหัวใจ โรคไต
ผู้ป่วยน้ำตาลในเลือดต่ำ จะมีระดับน้ำตาลที่ 70 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หรือต่ำกว่า โดยอ้างอิงจาก แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับโรคเบาหวาน 2560 ส่วนในคนปกติ เมื่อตรวจเลือดหลังอดอาหารมาแล้ว 8 ชั่วโมง ระดับน้ำตาลจะอยู่ระหว่าง 70-100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร อย่างไรก็ตาม หากตรวจพบว่าระดับน้ำตาลสูงกว่า 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร อาจหมายความว่ามีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน หรือกำลังเป็นโรคเบาหวานอยู่
อาการ
อาการของ Hypoglycemia
ผู้ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำมักมีอาการดังต่อไปนี้
- ตัวสั่น
- วิตกกังวล
- หัวใจเต้นเร็ว
- เวียนศีรษะ
- คลื่นไส้
- หิวมากเป็นพิเศษ
- ง่วงซึม
- หมดแรง ขาดพลังงาน
- ตาพร่ามัว
- ปวดหัว
- ฝันร้ายหรือร้องไห้ระหว่างนอนหลับ
นอกจากนี้ อาจพบภาวะ Hypoglycemia ขณะนอนหลับได้ด้วยซึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหารุนแรง โดยมีอาการ เช่น ร้องตะโกน ฝันร้าย เหงื่อออก เหนื่อยหอบหลังรู้สึกตัวตื่น
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยภาวะ Hypoglycemia บางรายอาจไม่พบอาการผิดปกติ หรือเรียกว่าเป็น Hypoglycemia Unawareness เนื่องจากการเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำก่อนหน้านั้น ซึ่งทำให้สมองไม่กระตุ้นให้ร่างกายแสดงอาการผิดปกติใด ๆ ออกมา
นอกจากนั้น ผู้ป่วย Hypoglycemia Unawareness มีแนวโน้มเผชิญกับภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำขั้นรุนแรง เพราะ Hypoglycemia Unawareness ทำให้ผู้ป่วยไม่ทราบว่าตัวเองมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำตั้งแต่ในระยะแรก ๆ หากมีอาการรุนแรง สมองอาจหยุดการทำงานและทำให้ช็อกหมดสติได้
ควรไปพบคุณหมอเมื่อใด
ผู้ที่มีภาวะ Hypoglycemia หรือภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ควรไปพบคุณหมอเมื่อมีอาการดังนี้
- ผู้ป่วยโรคเบาหวาน เมื่อมีอาการหรือสัญญาณเตือนของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ และอาการไม่ทุเลาลงหลังจากดื่มน้ำผลไม้ น้ำอัดลม หรือกินขนมหวาน ตามกฎ 15-15 หรือการรักษาระดับน้ำตาลในเลือดต่ำด้วยตัวเอง โดยการบริโภคคาร์โบไฮเดรต 15 กรัม เช่น นมไขมันต่ำ โยเกิร์ตธรรมชาติ สลัดผลไม้ แอปเปิ้ล ส้ม ธัญพืช บร็อกโคลี่ แล้วหลังจากนั้น 15 นาทีให้วัดระดับน้ำตาลในเลือด หากระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 70 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ให้บริโภคคาร์โบไฮเดรตเพิ่มอีก 15 กรัม และหากระดับน้ำตาลในเลือดยังไม่สูงขึ้น ควรไปพบคุณหมอ
- ผู้ที่ไม่เป็นโรคเบาหวาน เมื่อพบอาการหรือสัญญาณเตือนของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เช่น เวียนหัว คลื่นไส้ ง่วงซึม อ่อนเพลีย โดยไม่ทราบสาเหตุ
สาเหตุ
สาเหตุของ Hypoglycemia
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำมักพบในผู้ป่วยเบาหวาน โดยมีสาเหตุจากการใช้อินซูลินไม่เหมาะสม การฉีดอินซูลินผิดประเภท หรือการฉีดเข้ากล้ามเนื้อแทนการฉีดใต้ผิวหนัง นอกจากนี้ การรับประทานอาหารน้อยเกินไป หรือออกกำลังกายมากเกินไป ก็สามารถทำให้น้ำตาลในเลือดต่ำได้เช่นกัน
ในกรณีของผู้ไม่เป็นเบาหวาน สาเหตุของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำมักมีดังนี้
- การบริโภคคาร์โบไฮเดรตน้อยเกินไป โดยคาร์โบไฮเดรตเมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะถูกย่อยเป็นน้ำตาลกลูโคสแล้วลำเลียงผ่านเส้นเลือดไปยังเซลล์ต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นพลังงานแก่ร่างกาย หากได้รับคาร์โบไฮเดรตไม่เพียงพอ ร่างกายอาจเกิดภาวะน้ำตาลต่ำได้
- ยาบางอย่าง เช่น ควินิน (Quinine) ซึ่งใช้รักษาผู้ป่วยมาลาเรีย เนื่องจากยาควินินไปกระตุ้นตับอ่อนให้ผลิตฮอร์โมนอินซูลินออกมามากเกินไป
- การอดอาหาร ทำให้เกิดการเสียสมดุล ระหว่างปริมาณน้ำตาลที่ร่างกายผลิตได้และปริมาณที่ร่างกายต้องใช้
- โรคบางโรค เช่น ตับแข็ง การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ โดยเฉพาะการรักษาโรคเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อระดับกลูโคสในร่างกาย
- การดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก โดยไม่รับประทานอาหาร จะขัดขวางไม่ให้ตับดึงน้ำตาลที่เก็บไว้ออกมาเพื่อใช้เป็นพลังงานทดแทนของร่างกาย อาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลต่ำได้
- การผลิตอินซูลินมากเกินไป เนื่องจากโรคเนื้องอกตับอ่อนที่ผลิตอินซูลิน (Insulinoma) ทำให้ผลิตอินซูลินมากเกินไปส่งผลให้ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ โดยการวินิจฉัย อาจทำได้จากการตรวจเลือด และ CT scan
การวินิจฉัยและรักษาโรค
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาคุณหมอทุกครั้งเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัย Hypoglycemia
เมื่อไปพบคุณหมอ คุณหมอจะซักถามประวัติสุขภาพ โรคประจำตัว ประวัติการเข้ารับการรักษาโรค และตรวจสุขภาพโดยทั่วไปรวมทั้งเจาะเลือดเพื่อตรวจระดับน้ำตาลในเลือด
ในกรณีของผู้ป่วยเบาหวาน คุณหมออาจวินิจฉัยว่ามีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำทันที โดยพิจารณาจากระดับน้ำตาลในเลือด
สำหรับผู้ไม่เป็นโรคเบาหวาน นอกจากตรวจเลือด คุณหมอจะสอบถามเพิ่มเติมถึงอาการอื่น ๆ รวมถึงอาจให้อดอาหารข้ามคืน เพื่อรอให้อาการของโรคแสดงออกมาและวินิจฉัยเพิ่มเติม
นอกจากนี้ ในกรณีของผู้ที่มีอาการของโรคหลังมื้ออาหาร คุณหมออาจวัดระดับน้ำตาลในเลือดเมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว
การรักษา Hypoglycemia
การรักษาภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ อาจทำได้ดังนี้
- ค่อย ๆ เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด ในกรณีของการดูแลตัวเองเบื้องต้น คือ การดื่มน้ำหวาน รับประทานขนมหวาน ช็อกโกแลต หรือเม็ดกลูโคส น้ำผึ้ง ไม่ควรดื่มน้ำอัดลมชนิดไดเอท เพราะในน้ำอัดลมอาจมีแต่สารให้ความหวานแต่ไม่มีน้ำตาล
- เปลี่ยนตัวยาหรือหยุดรับประทานยา คุณหมอจะวินิจฉัยการรักษาโรคอื่น ๆ ประกอบ หากพบว่ายาที่ใช้รักษาเป็นสาเหตุของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ คุณหมออาจประเมินการรักษาใหม่โดยให้หยุดใช้หรือเปลี่ยนยา
- รักษาโรคหรือความผิดปกติทางสุขภาพ ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เช่น เบาหวาน โรคตับอักเสบ โรคไต โรคกลัวอ้วน (Anorexia)
การรักษาภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำขั้นรุนแรง อาจทำได้ดังนี้
- ฉีดกลูคากอน (Glucagon) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ผลิตจากตับอ่อน จะไปช่วยกระตุ้นให้ตับปล่อยน้ำตาลที่กักเก็บไว้ออกมา โดยคุณหมอหรือพยาบาลจะฉีดกลูคากอน ในกรณีที่ร่างกายเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำขั้นรุนแรง มีระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 50 มิลลิกรัม/เดซิลิตร มีอาการผิดปกติ เช่น ชัก หลง สับสน หมดสติ
- ฉีดน้ำตาลกลูโคสเข้าเส้นเลือดดำ เฉพาะกรณีฉุกเฉินที่ผู้ป่วยหมดสติ ไม่สามารถรับประทานของหวานทางปาก ทำได้โดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น และต้องระวังสำหรับผู้ป่วยที่แพ้ข้าวโพดเนื่องจากเป็นน้ำตาลกลูโคสที่สกัดมาจากข้าวโพด
การปรับพฤติกรรมและการดูแลตัวเอง
เพื่อป้องกันและหลีกเลี่ยงภาวะ Hypoglycemia หรือภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ อาจปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้
- รับประทานอาหาร 3 มื้อ/วัน ไม่ควรข้ามมื้อใดมื้อหนึ่ง เพื่อให้ร่างกายได้สารอาหารครบถ้วน
- รับประทานของว่างระหว่างมื้อ ในกรณีคุณหมออนุญาต โดยเฉพาะกรณีผู้ป่วยเบาหวาน เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำตาล
- กรณีผู้ป่วยเบาหวาน ฉีดอินซูลินเข้าสู่ร่างกายในปริมาณเหมาะสม ตามเวลาที่กำหนด และฉีดให้ถูกวิธีตามคำแนะนำของคุณหมอ
- ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่พอดี และควรรับประทานอาหารก่อนดื่ม
- ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดสม่ำเสมอ
- รับประทานอาหารหรือของว่างซึ่งมีคาร์โบไฮเดรตซึ่งให้พลังงานก่อนออกกำลังกาย เช่น ขนมปังโฮลวีต