โรคเบาหวานที่พบในผู้สูงอายุ มักมีการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยผู้ดูแลหรือคนรอบข้างอาจสังเกตอาการได้ เช่น ตาพร่ามัว อ่อนเพลีย ปัสสาวะบ่อย น้ำหนักลด ซึ่งอาการเหล่านี้เป็นอาการที่เกิดจากร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง การทราบข้อมูลเกี่ยวกับ ลักษณะของโรคเบาหวานที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ และวิธีการรับมืออย่างเหมาะสม จะช่วยให้สามารถดูแลสุขภาพของผู้ป่วยได้ดียิ่งขึ้น ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองตีบไตวาย โรคจอประสาทตาเสื่อม
[embed-health-tool-bmi]
โรคเบาหวานในผู้สูงอายุเกิดจากอะไร
โรคเบาหวานในผู้สูงอายุ อาจเกิดจากความผิดปกติของอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างจากตับอ่อน มีหน้าที่สำคัญในการควบคุมสมดุลระดับน้ำตาลในเลือด โดยฮอร์โมนอินซูลินจะช่วยกระตุ้นให้เซลล์ในร่างกายนำน้ำตาลในเลือดไปเปลี่ยนใช้เป็นพลังงาน แต่เมื่ออายุมากขึ้น ตับอ่อนอาจเสื่อม จึงส่งผลให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินได้น้อยลง นอกจากนี้ โรคเบาหวานในผู้สูงอายุยังอาจเกิดจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งเป็นภาวะที่เซลล์ในร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินบกพร่อง จึงส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น และนำไปสู่โรคเบาหวานในเวลาต่อมา
ลักษณะของโรคเบาหวานที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ
ลักษณะของโรคเบาหวานที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุ อาจสังเกตได้จากอาการต่าง ๆ ดังนี้
- ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกิน 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร เมื่อตรวจหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง หรือระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกิน 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร เมื่อตรวจน้ำตาลในเลือดแบบสุ่ม
- กระหายน้ำบ่อย
- หิวบ่อย รับประทานอาหารมากขึ้น
- ปัสสาวะบ่อย ต้องตื่นมาปัสสาวะตอนกลางคืน
- น้ำหนักลดลงกะทันหัน
- รู้สึกไม่มีแรง อ่อนเพลีย เหนื่อยล้าง่าย
- มองเห็นภาพไม่ชัดเจน
- แผลหายช้า
- ผิวแห้งคัน
วิธีดูแลผู้สูงอายุที่เป็นเบาหวาน
หากสังเกตพบอาการที่เป็นสัญญานของโรคเบาหวาน หรือตรวจพบระดับน้ำตาลในเลือดสูง แนะนำให้ดูแลผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวานเบื้องต้น ด้วยวิธีดังนี้
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมอ เช่น การเลือกอาหารในแต่ละมื้อ การฉีดอินซูลิน การรับประทานยาลดระดับน้ำตาล รวมถึงการออกกำลังกาย เพื่อควบคุมอาการเบาหวานให้อยู่ในเกณฑ์
- พาผู้สูงอายุไปพบคุณหมอตามนัดสม่ำเสมอ
- หมั่นตรวจระดับน้ำตาลในเลือดให้ผู้สูงอายุเป็นประจำ และจดบันทึกค่าน้ำตาลในเลือดรวมถึงช่วงเวลาที่ตรวจ เพื่อให้ทราบระดับน้ำตาลโดยรวมในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะช่วยให้สามารถควบคุมเบาหวานได้ดีขึ้น และใช้เป็นข้อมูลเพื่อแจ้งให้คุณหมอทราบ และช่วยปรับการรักษาให้เหมาะสมกับตัวผู้ป่วยได้ดีขึ้น
- ดูแลสุขภาพช่องปาก โดยควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ด้วยยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ และใช้ไหมขัดฟัน เพื่อช่วยกำจัดเศษอาหารที่อาจติดอยู่ตามซอกฟัน เพราะผู้ที่เป็นโรคเบาหวานจะเสี่ยงเกิดโรคปริทันต์ โรคเหงือกอักเสบ และฟันผุได้ง่าย หากพบว่าผู้สูงอายุมีเหงือกบวม หรือมีเลือดออกตามไรฟัน ควรรีบพาไปพบคุณหมอฟัน
- หากควบคุมโรคเบาหวานได้ไม่ดี อาจเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อและทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย จึงควรพาผู้สูงอายุเข้ารับการฉีดวัคซีนต่าง ๆ เช่น วัคซีนตับอักเสบบี วัคซีนป้องกันโรคปอดบวม วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ตามกำหนด
- ดูแลสุขภาพผิว ด้วยการทาโลชั่นหรือมอยส์เจอร์ไรเซอร์ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว และป้องกันไม่ให้ผิวแห้ง
- เลิกบุหรี่และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ผู้ดูแลหรือคนรอบข้างควรเป็นกำลังใจ หรือหากิจกรรมให้ผู้สูงอายุทำเพื่อช่วยผ่อนคลายความเครียด เช่น พาไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ ออกกำลังกาย ร้องเพลง เต้นรำ