backup og meta

ตากุ้งยิง อาการ และวิธีการรักษา

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย พลอย วงษ์วิไล


เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน · แก้ไขล่าสุด 05/04/2022

    ตากุ้งยิง อาการ และวิธีการรักษา

    ตากุ้งยิง เป็นอาการที่สังเกตได้จากก้อนนูนแข็งบริเวณเปลือกตา และอาจมีหนองภายใน ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ตากุ้งยิงมักไม่ก่อให้เกิดอันตรายและเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว แต่อาจรบกวนการมองเห็นและการใช้ชีวิตได้ ดังนั้น หากมีอาการตากุ้งยิง จึงควรพบคุณหมอเพื่อรับการตรวจทันทีที่สังเกตว่าเริ่มมีอาการคันรอบ เปลือกตา เจ็บตา และมีตุ่มนูนเกิดขึ้นบริเวณเปลือกตาและโดยรอบ

    ตากุ้งยิง คืออะไร

    ตากุ้งยิง คือ ก้อนนูนที่อยู่บริเวณเปลือกตา สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งภายนอกและภายในเปลือกตา มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus) ที่ต่อมน้ำมันบริเวณเปลือกตา หรืออาจเกิดจากเซลล์ผิวเก่า และสิ่งสกปรกเข้าไปอุดตันในต่อมน้ำมันจนเกิดการอักเสบ โดยอาจเกิดจากสาเหตุเหล่านี้

    • การล้างเครื่องสำอางไม่สะอาด โดยเฉพาะบริเวณรอบดวงตา
    • การใช้อุปกรณ์แต่งหน้าร่วมกับผู้อื่น หรือไม่ทำความสะอาดอุปกรณ์แต่งหน้าเป็นเวลานาน เพราะอาจส่งผลให้มีการปนเปื้อนของแบคทีเรีย
    • การใส่คอนแทคเลนส์และล้างคอนแทคเลนส์ไม่สะอาด
    • การใช้มือที่ไม่สะอาดสัมผัสบริเวณดวงตา
    • ภาวะสุขภาพบางอย่าง เช่น  โรคต่อมไขมันอักเสบ เปลือกตาอักเสบ โรคโรซาเซีย เกล็ดกระดี่ขึ้นตา (โรคขาดวิตามินเอ) และโรคเบาหวาน

    ประเภทของตากุ้งยิง

    ตากุ้งยิงมี 2 ประเภท ดังนี้

    1. ตากุ้งยิงชนิดเจ็บ (Hordeolum) เกิดขึ้นจากการอุดตันของต่อมไขมันบริเวณเปลือกตาและโคนขนตา ส่งผลให้เกิดก้อนนูนแดงและมีอาการอักเสบ ทำให้รู้สึกเจ็บปวด
    2. ตากุ้งยิงชนิดไม่เจ็บ (Chalazion) เกิดจากการอุดตันของต่อมไขมันไมโบเมียน (Meibomian) ที่อยู่บริเวณเปลือกตา ส่งผลให้เป็นก้อนนูนขนาดเล็ก บวมแดง ไม่ทำให้รู้สึกเจ็บปวด แต่อาจทำให้ระคายเคืองดวงตา

    อาการของตากุ้งยิงเป็นอย่างไร

    อาการของตากุ้งยิง อาจสังเกตได้ดังนี้

    • มีตุ่มนูนแข็งเกิดขึ้นบริเวณเปลือกตา และอาจมีหนองอยู่ด้านใน บางคนอาจรู้สึกเจ็บบริเวณตุ่มนูน
    • เปลือกตาบวมแดง
    • รู้สึกเหมือนมีอะไรเข้าตา หรือมีอาการคันตา
    • น้ำตาไหลจากการระคายเคือง

    ปกติแล้วตากุ้งยิงจะหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่หากสังเกตว่ามีอาการแย่ลงและส่งผลกระทบต่อการมองเห็น เช่น ตาไวต่อแสง ตาพร่ามัว ควรพบคุณหมอทันที

    วิธีรักษาอาการ ตากุ้งยิง

    วิธีรักษาเมื่อเป็นตากุ้งยิง มีดังนี้

  • ยาปฏิชีวนะ คุณหมออาจแนะนำยาหยอดตาหรือครีมทาบริเวณเปลือกตา เพื่อต้านเชื้อแบคทีเรีย
  • ยาแก้ปวด ผู้ที่มีอาการปวดอาจรับประทานยาแก้ปวด เช่น ไอบูโพรเฟน พาราเซตามอล สำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 16 ปี ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพริน เพราะอาจเสี่ยงเป็นโรคไรย์ซินโดรม (Reye’s syndrome)
  • ประคบร้อน นำผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่นและวางลงบนเปลือกตาเป็นเวลา 10-15 นาที โดยควรทำ 3-5 ครั้ง/วัน เพื่อช่วยบรรเทาอาการอักเสบ และทำให้ต่อมไขมันเปิดเพื่อระบายหนองออก
  • นวดเปลือกตา ล้างมือให้สะอาดและนวดบริเวณตุ่มตากุ้งยิงเบา ๆ เพื่อกระตุ้นให้ต่อมไขมันเปิด และช่วยระบายหนองออก
  • ประคบด้วยถุงชา ควรเลือกเป็นชาดำเพราะอาจมีคุณสมบัติช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียและลดอาการบวม โดยนำถุงชาไปต้มประมาณ 1 นาที รอจนกว่าถุงชาจะอุ่น และนำมาประคบบริเวณเปลือกตา 5-10 นาที สำหรับผู้ที่เป็นตากุ้งยิงทั้ง 2 ข้างพร้อมกันควรใช้ถุงชาคนละถุงในการประคบ
  • น้ำมันมะพร้าว อาจช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา อีกทั้งยังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ โดยนำน้ำมันมะพร้าวหยดลงบนสำลี ประคบบริเวณตุ่มนูนไว้ 15 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น ควรทำซ้ำอย่างน้อย 3-5 ครั้ง/วัน
  • ยาสเตียรอยด์ ใช้ในกรณีที่มีก้อนนูนและมีอาการบวมมาก เพื่อช่วยลดอาการบวม
  • การผ่าตัด คุณหมออาจทำการผ่าตัดเพื่อระบายหนองในตากุ้งยิงในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการตากุ้งยิงแย่ลงจนส่งผลต่อการมองเห็น และอาจขอเก็บตัวอย่างหนองหรือเนื้อเยื่อไปวินิจฉัยเพื่อตรวจดูว่ามีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ อีกหรือไม่
  • ในระหว่างการรักษาตากุ้งยิง ควรหลีกเลี่ยงการแต่งหน้าและการใส่คอนแทคเลนส์ จนกว่าอาการจะหายสนิท

    การป้องกันการเกิดอาการ ตากุ้งยิง

    ตากุ้งยิงสามารถป้องกันได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ดังนี้

    • ล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสบริเวณเปลือกตา และไม่ควรขยี้ตาเนื่องจากอาจทำให้เกิดการอักเสบ
    • ล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังใส่คอนแทคเลนส์ ล้างทำความสะอาดคอนแทคเลนส์ทุกครั้ง และควรทิ้งคอนแทคเลนส์ที่ใส่ระหว่างติดเชื้อตากุ้งยิงเพราะอาจมีแบคทีเรียสะสมอยู่
    • ล้างเครื่องสำอางให้สะอาดก่อนนอน โดยเฉพาะบริเวณเปลือกตา
    • ควรเปลี่ยนเครื่องสำอางอย่างน้อยทุก ๆ 3 เดือน และไม่ควรใช้เครื่องสำอางที่หมดอายุ
    • ไม่ควรใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า แปรงและฟองน้ำแต่งหน้า
    • ทำความสะอาดอุปกรณ์แต่งหน้าบ่อย ๆ

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    พลอย วงษ์วิไล


    เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน · แก้ไขล่าสุด 05/04/2022

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา