- คนที่มีระดับของกรดในกระเพาะต่ำจะดูดซึมแคลเซียมได้น้อยกว่า หากรับประทานแคลเซียมขณะท้องว่าง อย่างไรก็ตาม ระดับของกรดในกระเพาะที่ต่ำ ดูเหมือนจะไม่ได้ลดระดับของการดูดซึมแคลเซียมที่มาพร้อมกับอาหาร จึงแนะนำให้ผู้มีภาวะขาดกรดในกระเพาะรับประทานอาหารเสริมแคลเซียมพร้อมกับอาหาร
ระดับของฟอสเฟตในเลือดสูง (hyperphosphatemia) หรือมีระดับของฟอสเฟตในเลือดต่ำ (hypophosphatemia)
- แคลเซียมและฟอสเฟตในร่างกายนั้นควรจะสมดุลกัน การรับประทานแคลเซียมมากเกินไป สามารถทำลายความสมดุลนี้ และทำให้เกิดอันตรายได้ อย่ารับประทานแคลเซียมเพิ่มเติมโดยไม่มีผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำปรึกษาดูแลสุขภาพ
ภาวะขาดฮอร์โมนไทรอยด์ (hypothyroidism)
- แคลเซียมสามารถส่งผลกับการบำบัดภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมนได้ (Thyroid hormone replacement treatment) ควรเว้นระยะห่างระหว่างการรับประทานแคลเซียมและยาฮอร์โมนอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
การมีแคลเซียมในเลือดมากเกินไป
- เช่นในภาวะความผิดปกติของต่อมพาราไทรอยด์ (Parathyroid gland disorders) และโรคซาร์คอยโดซิส (Sarcoidosis) ควรหลีกเลี่ยงแคลเซียมหากเป็นโรคใดโรคหนึ่งนี้
การทำงานของไตไม่ดี
- อาหารเสริมแคลเซียมอาจเพิ่มความเสี่ยง ในการทำให้มีแคลเซียมในเลือดมากเกินไป สำหรับผู้ที่มีภาวะไตทำงานไม่ดี
การสูบบุหรี่
- ผู้ที่สูบบุหรี่จะดูดซึมแคลเซียมในกระเพาะอาหารได้น้อยกว่าปกติ
ผลข้างเคียง
ผลข้างเคียงของการใช้ แคลเซียม
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากการใช้แคลเซียมได้แก่
- แคลเซียมสามารถทำให้เกิดผลข้างเคียงเล็กน้อยได้ เช่น เรอ หรือมีแก๊ส
อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงที่กล่าวมาข้างต้น อาจไม่ได้เกิดกับทุกคน หรือบางคนอาจมีผลข้างเคียงอื่นนอกเหนือจากนี้ หากคุณมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียง โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
ปฏิกิริยาต่อยา
ปฏิกิริยากับยาอื่น
แคลเซียมอาจทำปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ และอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงรุนแรง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น คุณควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรด้วยว่า คุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง หรือสมุนไพร
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคุณกำลังใช้ยาเหล่านี้
- เซฟไตรอะโซน (Ceftriaxone) การฉีดยาเซฟไตรอะโซนและแคลเซียมเข้าเส้นเลือดดำ สามารถทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ปอดและไตอย่างรุนแรง ที่อาจเป็นอันตายถึงชีวิต ไม่ควรฉีดแคลเซียมเข้าเส้นเลือดภายใน 48 ชั่วโมงหลังจากรับยาเซฟไตรอะโซน
- ยาปฏิชีวนะ แคลเซียมอาจจะลดปริมาณการดูดซึมยาปฏิชีวนะของร่างกาย การใช้แคลเซียมคู่กับยาปฏิชีวนะบางชนิด อาจจะลดประสิทธิภาพของยาปฏิชีวนะนั้นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงปฏิกิริยานี้ ควรรับประทานอาหารเสริมแคลเซียมหลังจากรับยาปฏิชีวนะอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
- ยาปฏิชีวนะกลุ่มเตตราไซคลีน แคลเซียมสามารถไปเกาะจับกับยาปฏิชีวนะบางชนิด ที่เรียกว่า เตตราไซคลีน (Tetracyclines) ในกระเพาะอาหาร ทำให้ลดปริมาณการดูดซึมยาเตตราไซคลีน การใช้แคลเซียมคู่กับยาเตตราไซคลีนอาจลดประสิทธิภาพของยาเตตราไซคลีนได้ เพื่อหลีกเลี่ยงปฏิกิริยานี้ควรรับประทานแคลเซียม 2 ชั่วโมงก่อน หรือ 4 ชั่วโมงหลังใช้ยาเตตราไซคลีน
- ยากลุ่มบิสฟอสโฟเนตส์ (Bisphosphonates)แคลเซียมสามารถลดการดูดซึมยากลุ่มบิสฟอสโฟเนตส์ได้ การใช้แคลเซียมคู่กับยากลุ่มบิสฟอสโฟเนตส์ สามารถลดประสิทธิภาพของยากลุ่มนี้ได้ เพื่อหลีกเลี่ยงปฏิกิริยานี้ ใช้ยากลุ่มไบฟอสโฟเนตส์ อย่างน้อย 30 นาทีก่อนแคลเซียม หรือใช้หลังจากนั้น
- ยากลุ่มคาลซิโพไทรอิน (Calcipotriene) ยาซิโพไทรอิน อย่างเช่น โดโวเนกซ์ (Dovonex) คือยาที่คล้ายกับวิตามินดี วิตามินดีช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียม การรับประทานอาหารเสริมแคลเซียมคู่กับยาคาลซิโพไทรอิน อาจทำให้ได้รับแคเซียมมากเกินไป
- ยากลุ่มไดจอกซิน (Digoxin) แคลเซียมสามารถส่งผลกระทบต่อหัวใจของคุณได้ ยาไดจอกซิน อย่างเช่น ลาโนซิน (Lanoxin) ใช้เพื่อช่วยให้หัวใจของคุณเต้นแรงขึ้น การใช้แคลเซียมคู่กับยาไดจอกซิน อาจเพิ่มประสิทธิภาพของยาไดจอกซินแล้วทำให้หัวใจเต้นผิดปกติได้ หากคุณกำลังใช้ยาไดจอกซินควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้อาหารเสริมแคลเซียม
- ยากลุ่มดิลไทอะเซม (Diltiazem) แคลเซียมสามารถส่งผลกระทบต่อหัวใจของคุณได้ ยาดิลไทอะเซม อย่างคาร์ดิเซม (Cardizem) หรือดิลาคอร์ (Dilacor) หรือทิอาแซค (Tiazac) ก็ส่งผลกระทบต่อหัวใจของคุณได้เช่นกัน การรับประทานแคลเซียมจำนวนมาก คู่กับยาดิลไทอะเซม อาจลดประสิทธิภาพของยาดิลไทอะเซมได้
- ยากลุ่มเลโวไทรอกซีน (Levothyroxine) ยาเลโวไทรอกซีนใช้เพื่อลดการทำงานของไทรอยด์ แคลเซียมสามารถลดการดูดซึมยาเลโวไทรอกซีนได้ การใช้แคลเซียมคู่กับเลโวไทรอกซีนอาจลดประสิทธิภาพของยาเลโวไทรอกซีน ควรรับประทานยาเลโวไทรอกซีนและแคลเซียมห่างกันอย่างน้อย 4 ชั่วโมง
- ยากลุ่มโซทาลอล (Sotalol) การใช้แคลเซียลคู่กับยาโซทาลอล อย่างเช่น เบตาเพส (Betapace) สามารถลดการดูดซึมยาโซทาลอลได้ การใช้แคลเซียมคู่กับยาโซทาลอลอาจลดประสิทธิภาพของยาโซทาลอลได้ เพื่อหลีกเลี่ยงปฏิกิริยานี้ ควรรับประทานแคลเซียลอย่างน้อย 2 ชั่วโมงก่อน หรือ 4 ชั่วโมง หลังใช้ยาโซทาลอล
- ยาขับปัสสาวะ (Water pills) ยาขับปัสสาวะบางชนิดอาจจะเพิ่มปริมาณแคลเซียมในร่างกายได้ การรับระทานแคลเซียมจำนวนมากคู่กับยาขับปัสสาวะ อาจทำให้มีแคลเซียมในร่างกายมากเกินไป และอาจส่งผลข้างเคียงที่รุนแรง รวมทั้งปัญหาเกี่ยวกับไตอีกด้วย
- เอสโตรเจน (Estrogens) เอสโตรเจนช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ การรับประทานยาเอสโตรเจนคู่กับแคลเซียมในปริมาณมาก อาจเพิ่มปริมาณแคลเซียมในร่างกายมากเกินไป
เพื่อความปลอดภัย คุณไม่ควรเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยาเองโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์ ขนาดการใช้
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
ขนาดการใช้แคลเซียม
ปริมาณในการใช้อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับอายุ สุขภาพและปัจจัยอื่นๆ การใช้คาโมมายล์ในรูปแบบอาหารเสริมอาจไม่ได้มีความปลอดภัยเสมอ จึงควรปรึกษาเรื่องปริมาณที่เหมาะสม และวิธีการใช้งานอย่างปลอดภัยจากแพทย์หรือเภสัชกรเสมอ
รับประทาน
- เพื่อป้องกันระดับแคลเซียมต่ำ มักใช้ 1 กรัม ธาตุแคลเซียม ทุกวัน
- สำหรับอาการแสบร้อนกลางอก ใช้แคลเซียมคาร์บอเนตเป็นยาลดกรด ปกติคือ 0.5-1.5กรัม ตามที่จำเป็น
- เพื่อลดปริมาณฟอสเฟตในผู้ใหญ่ที่เป็นโรคไตวายเรื้อรัง ขนาดยาเริ่มต้นสำหรับแคลเซียมอะซิเตต คือ 1.334 กรัม (338 มก. ธาตุแคลเซียม) พร้อมกับอาหารในแต่ละครั้ง เพิ่มถึง 2-2.67 กรัม (500-680 มก. ธาตุแคลเซียม) พร้อมกับอาหารในแต่ละครั้ง ตามที่จำเป็น
- เพื่อป้องกันกระดูกอ่อนแอ (โรคกระดูกพรุน) ขนาดยา 1-1.6 กรัม ธาตุแคลเซียม ทุกวัน รับจากอาหารและอาหารเสริม แนวทางการรักษาโรคกระดูกพรุนในอเมริกาเหนือ แนะนำให้ใช้แคลเซียม 1200 มก. ต่อวัน
- สำหรับการป้องกันการสูญเสียกระดูก ในสตรีวัยก่อนหมดประจำเดือนที่มีอายุเกิน 40 ขนาดยา 1 กรัม
- สำหรับผู้ตั้งครรภ์ที่บริโภคแคลเซียมในปริมาณที่ต่ำ ขนาดยาสำหรับการเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก มีตั้งแต่ 300-1300 มก./วัน เริ่มตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ในสัปดาห์ที่ 20-22
- สำหรับกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน: 1-1.2 กรัม แคลเซียม ต่อวันเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต
- เพื่อลดระดับฮอร์โมนไทรอยด์สำหรับผู้ที่เป็นโรคไตวายเรื้อรัง: แคลเซียมคาร์บอเนต 2-21 กรัม
- เพื่อป้องกันการสูญเสียกระดูกสำหรับผู้ที่ที่ใช้ยาคอร์ติโคสเตอรอยด์: แบ่งยาวันละ 1 กรัม ธาตุแคลเซียมต่อวัน
- เพื่อรักษาโรคความดันโลหิตสูง 1-1.5 กรัมแคลเซียม ต่อวัน
- เพื่อป้องกันโรคความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ (ก่อนคลอด) ใช้แคลเซียมคาร์บอเนต 1-2 กรัม ต่อวัน
- เพื่อป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และเนื้องอกลำไส้ใหญ่กำเริบ (adenomas): แคลเซียม 1200-1600 มก./วัน
- สำหรับภาวะคอเลสเตอรอลสูง มีการใช้แคลเซียม 1200 มก. ต่อวัน รับประทานคู่หรือแยกต่างหากกับวิตามินดี 400 IU ต่อวัน ร่วมกับอาหารที่มีไขมันต่ำหรือจำกัดแคลอรี่
- เพื่อป้องกันการเป็นพิษของฟลูออไรด์ในเด็ก แคลเซียม 125 มก. วันละสองครั้ง คู่กับกรดแอสคอร์บิก (ascorbic acid) และวิตามินดี
- สำหรับการลดน้ำหนัก เพิ่มปริมาณการบริโภคแคลเซียมที่มาจากผลิตภัณฑ์นม ให้ได้ประมาณ 500-2400 มก./วัน คู่กับอาหารจำกัดแคลอรี่
ปริมาณการใช้แคลเซียมอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยขึ้นอยู่กับอายุ สุขภาพและปัจจัยอื่นๆ การใช้ยาสมุนไพรนั้นอาจไม่ได้มีความปลอดภัยเสมอ จึงควรปรึกษานักสมุนไพรศาสตร์หรือแพทย์ในเรื่องปริมาณที่เหมาะสมอาจแตกต่างกันสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย ขนาดยาที่ใช้ขึ้นอยู่กับอายุ สุขภาพและเงื่อนไขอื่นๆ อาหารเสริมไม่ได้ปลอดภัยเสมอไป โปรดปรึกษาแพทย์ของคุณเกี่ยวกับขนาดที่เหมาะสม
รูปแบบของแคลเซียม
แคลเซียมอาจมีจำหน่ายในรูปแบบต่อไปนี้
- ยาแคปซูลแคลเซียม 600 มก.
- แคลเซียมเหลว
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย