งานวิจัยที่เผยแพร่ในวารสารวิชาการ the Journal of Counseling Psychology พบว่าคนส่วนใหญ่จะรู้สึกดีขึ้นหลังจาก ปรึกษานักจิตวิทยา หรือจิตแพทย์ภายใน 7-10 ครั้ง และ 88% ของผู้ที่ได้รับการรักษาทางจิตวิทยาอย่างเต็มรูปแบบ มีรายงานว่ามีการพัฒนาที่ดีขึ้นหลังจากครั้งแรก
อย่างไรก็ตามหลายคนเลือกที่จะปรึกษาปัญหาทางจิตวิทยากับเพื่อน หรือคนในครอบครัว แต่ถ้าคุณรู้ตัวว่าไม่สามารถรับมือกับปัญหาทางจิตวิทยาได้แล้ว เช่น คุณเสี่ยงที่จะเป็นโรคซึมเศร้า หรือมีความคิดที่จะทำร้ายตัวเอง คุณควรปรึกษานักจิตวิทยา เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ทำให้คนใกล้ชิดอย่างเพื่อนหรือคนในครอบครัว ไม่สามารถเป็นนักจิตวิทยาให้คุณได้
เมื่อไหร่ที่คุณควรไปพบนักจิตวิทยา
- รู้สึกเศร้า รู้สึกโกรธ หรือรู้สึกว่า “ไม่ใช่ตัวคุณ”
ความเศร้า ความโกรธ หรือความสิ้นหวัง ที่ไม่สามารถควบคุมได้ อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพจิตที่สามารถเยียวยาได้ ถ้าการกินและการนอนของคุณผิดปกติ และภาวะซึมเศร้าของคุณเริ่มกระทบกับชีวิตประจำวัน หรือถึงขั้นมีความคิดอยากฆ่าตัวตาย ควรปรึกษาแพทย์
- ใช้แอลกอฮอล์ อาหาร การมีเพศสัมพันธ์ หรือใช้ยาเสพติดเพื่อเยียวยา
ถ้าคุณใช้แอลกอฮอล์ อาหาร การมีเพศสัมพันธ์ หรือใช้ยาเสพติดเพื่อทำให้ตนเองรู้สึกดีขึ้น คุณอาจเสพติดสิ่งเหล่านี้จนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และจะเกิดผลเสียในที่สุด ดังนั้นถ้ารู้ตัวว่าไม่สามารถควบคุมตนเองได้ และการเสพติดสิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อชีวิตประจำวัน คุณควรปรึกษาจิตแพทย์
- คุณสูญเสียคนสำคัญ หรือสิ่งที่สำคัญไป
ไม่ใช่ทุกคนที่จะรับมือกับการสูญเสียได้ และความเศร้าโศกอาจเป็นกระบวนการที่ยากลำบากและยาวนาน ดังนั้นคุณอาจต้องมองหาความช่วยเหลือจากนักจิตวิทยา หรือปรึกษาจิตแพทย์
- บาดแผลทางจิตใจ
บาดแผลในอดีตบางอย่างอาจยังกระทบต่อจิตใจของคุณ การปรึกษานักจิตวิทยาหรือจิตแพทย์อาจเป็นหนทางที่ทำให้คุณรับมือกับบาดแผลทางจิตใจได้
เหตุผลที่การ ปรึกษานักจิตวิทยา ดีกว่าการปรึกษาเพื่อน หรือคนใกล้ชิด
นักจิตวิทยาไม่ตัดสินคุณ
คุณสามารถพูดคุยกับนักจิตวิทยาในเรื่องใดก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องกลั่นกรองหรือกลัวว่าจะมีคนตัดสินคุณ เนื่องจากนักจิตวิทยาจะได้รับการฝึกมาเพื่อรับฟังปัญหาทางจิตวิทยา ซึ่งจะแตกต่างจากเพื่อนของคุณหรือคนในครอบครัวที่อาจไม่ได้รับการฝึกมาเพื่อให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยา
นักจิตวิทยาให้คำปรึกษาตามความเป็นจริง
ปัญหาของการปรึกษาปัญหากับเพื่อนคือ เพื่อนจะแคร์คุณ รวมถึงเรื่องความสัมพันธ์ ดังนั้นเพื่อนมักจะเห็นด้วยกับคุณเพื่อให้คุณรู้สึกดีขึ้น ส่วนการปรึกษากับครอบครัว มีแนวโน้มว่าพวกเขาจะแนะนำวิธีที่เป็นการ ‘ปกป้องคุณ’ และลดความเสี่ยงต่างๆ รวมถึงแนะนำตามความเชื่อของพวกเขา นอกจากนี้กรณีที่เลวร้ายที่สุดคือเพื่อนหรือครอบครัวของคุณ อาจต้องการควบคุมคุณเพื่อให้ได้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการ อย่างไรก็ตาม หากคุณเลือกปรึกษานักจิตวิทยา พวกเขาอาจแนะนำแนวทางที่เหมาะกับคุณที่สุด และเกี่ยวกับตัวคุณที่สุด
นักจิตวิทยาเก็บความลับ
ถ้าคุณเลือกที่จะปรึกษากับเพื่อน ย่อมมีความเสี่ยงที่เพื่อนคนอื่นจะรู้ความลับของคุณ ส่วนการปรึกษากับนักจิตวิทยา คุณสามารถมั่นใจได้ว่าสิ่งที่คุณพูดจะไม่ถูกนำไปพูดซ้ำกับคนอื่นอีก
นักจิตวิทยาเข้ารับการฝึกเป็นเวลาหลายปี
เพื่อนกับครอบครัวสามารถรับฟังปัญหาของคุณ และสนับสนุนคุณได้ แต่นักจิตวิทยาจะได้รับการฝึกมาเพื่อเข้าใจพฤติกรรมทางจิตวิทยาของคุณ ซึ่งสามารถช่วยให้คุณค้นพบสาเหตุของปัญหาว่าเกิดจากอะไร และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือนักจิตวิทยาสามารถให้กลยุทธ์ในการรับมือที่ดีกับคุณ ดังนั้นคุณจะสามารถเปลี่ยนพฤติกรรม หรือปรับความคิดที่ผิดปกติในอดีต
นักจิตวิทยาจะไม่บอกว่าปัญหาของคุณเป็นเรื่องเล็ก
ความจริงคือ ทุกๆ คนสามารถจัดการกับเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตได้ไม่เหมือนกัน นักจิตวิทยาจะเข้าใจว่าทุกคนมีช่วงเวลาของตัวเอง และเมื่อกลายเป็นปัญหาสุขภาพจิตที่รุนแรง เช่น โรคซึมเศร้าหรือกังวล นักจิตวิทยาจะไม่ปัดปัญหานั้นออกไป หรือทำให้เป็นเรื่องที่ไม่สำคัญพอที่ต้องสนใจ
คุยผิดคนอาจทำให้คุณรู้สึกแย่ลง
ถ้าคุณไปปรึกษาเพื่อนหรือครอบครัว พวกเขาอาจไม่พร้อมที่จะรับฟังเรื่องราวของคุณ และรู้สึกว่าเรื่องของคุณเป็นเรื่องเล็ก พวกเขาอาจตัดสินคุณ จนทำให้คุณรู้สึกแย่ลง เนื่องจากทุกคนต่างก็มีปัญหาของตัวเอง และมีวิธีรับมือกับปัญหาในแบบของตัวเอง รวมถึงพวกเขามีแนวโน้มว่าจะคิดถึงปัญหาของตนเองมากกว่าปัญหาของคุณ ดังนั้นคุณอาจเลือกปรึกษากับนักจิตวิทยาแทนการปรึกษากับคนใกล้ชิด
ความสัมพันธ์กับนักจิตวิทยาค่อนข้างชัดเจน
คุณจะพบนักจิตวิทยาได้ในเวลานัด ซึ่งระหว่างคุณกับนักจิตวิทยาจะไม่มีความสัมพันธ์ในแง่ความผูกพันเข้ามาเกี่ยวข้อง เนื่องจากนักจิตวิทยาจะไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว และจะมุ่งไปที่เรื่องของคุณ ดังนั้นคุณจะรู้สึกชัดเจนและปลอดภัยกว่าการปรึกษากับเพื่อนหรือคนในครอบครัวที่มีเรื่องความสัมพันธ์มาเกี่ยวข้อง