ถึงแม้ว่าปัญหา ตาขาวอักเสบ จะไม่ได้เกิดบริเวณตาดำโดยตรง แต่คุณรู้หรือไม่ว่าการที่ ตาขาวอักเสบ ก็สามารถส่งผลกระทบต่อการมองเห็นได้เช่นกัน แต่จะมีสาเหตุใดบ้างนั้น ที่ทำให้บริเวณตาขาวคุณรู้สึกเจ็บปวด ติดตามได้ใน บทความของ Hello คุณหมอ วันนี้ที่นำความรู้เบื้องต้น มาฝากให้ทุกคนได้ทราบกันค่ะ
คำจำกัดความ
ตาขาวอักเสบ (Scleritis) คืออะไร
ตาขาวอักเสบ (Scleritis) คือ อาการผิดปกติบริเวณตาขาวที่ก่อให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรง โดยเป็นผลมาจากการทำงานของภูมิต้านทานในร่างกายเปลี่ยนแปลงไป สามารถแบ่งออกได้หลายประเภทด้วยกัน ได้แก่
- ตาขาวอักเสบบริเวณด้านหน้าดวงตา
- ตาขาวอักเสบเป็นก้อนกลมด้านหน้าดวงตา
- ตาขาวอักเสบชนิดรุนแรง
- ตาขาวอักเสบบริเวณด้านหลัง
ตาขาวอักเสบพบได้บ่อยแค่ไหน
ภาวะตาขาวอักเสบ สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะในผู้หญิงที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นบ่อยได้มากกว่าผู้ชาย
อาการ
อาการของตาขาวอักเสบ
อาการตาขาวอักเสบ มักแตกต่างกันออกไปตามแต่ละประเภท และสภาวะทางสุขภาพร่างกายของแต่ละบุคคล โดยส่วนใหญ่ อาการหลัก ๆ ที่คุณสามารถสังเกตได้นั้น มีดังนี้
- ดวงตาไวต่อแสง
- ประสิทธิภาพการมองเห็นลดลง หรือมองเห็นไม่ชัด
- มีน้ำตาไหลออกมาเป็นบางครั้ง
- อาการเจ็บปวดขณะเคลื่อนไหวลูกตา
- ระคายเคืองดวงตา
- บริเวณตาขาวมีอาการบวม และมีสีแดง
ควรไปพบคุณหมอเมื่อใด
เมื่อคุณมีอาการเจ็บดวงตาไม่ว่าจะอยู่ในระดับรุนแรง หรือไม่รุนแรง แน่นอนว่าไม่ควรปล่อยทิ้งไว้เป็นระยะเวลานาน โปรดรีบเร่งเข้ารับการตรวจอย่างละเอียด พร้อมระบุอาการเบื้องต้นให้แพทย์ทราบในทันที เพราะอาการตาขาวอักเสบบางประเภท อาจทำให้คุณสูญเสียการมองเห็นได้โดยที่คุณไม่ทันตั้งตัว
สาเหตุ
สาเหตุที่ทำให้ตาขาวอักเสบ
ในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของ อาการตาขาวอักเสบ แต่สาเหตุเบื้องต้นอาจมาจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ และมีการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัส จนทำให้เกิดอาการปวด รวมไปถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อบริเวณตาขาว จนทำให้เกิดการอักเสบ
หากคุณมีข้อสงสัยใด ๆ เพิ่มเติม หรือหากคุณรู้สึกถึงอาการเจ็บปวดดวงตา คุณอาจจำเป็นต้องเข้ารับการตรวจอย่างละเอียดจากผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุแพทย์
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิด อาการตาขาวอักเสบ
โรคเรื้อรังบางโรค อาจส่งผลข้างเคียง และเพิ่มความเสี่ยงให้คุณมีอาการผิดปกติทางดวงตา จนลุกลามก่อให้เกิดตาขาวอักเสบได้ โรคเหล่านั้นได้แก่
- โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis)
- โรคลำไส้อักเสบ (Inflammatory bowel disease)
- โรคลูปัส (Lupus)
- การติดเชื้อในดวงตา (Eye infections)
- โรคผิวหนังแข็ง (Scleroderma)
- โรคหลอดเลือดอักเสบ (Granulomatosis)
- กลุ่มอาการโจเกรน (Sjogren’s Syndrome)
การวินิจฉัยและการรักษาโรค
ข้อมูลที่นำเสนอไม่สามารถใช้แทนข้อแนะนำทางการแพทย์ได้ โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัย อาการตาขาวอักเสบ
ขั้นตอนแรก แพทย์อาจสอบถามประวัติที่เกี่ยวข้องกับภาวะทางสุขภาพ รวมถึงยาและอาหารเสริมที่คุณกำลังรับประทาน ก่อนวินิจฉัยโรคด้วยเทคนิคต่าง ๆ เหล่านี้
- การนำชิ้นเนื้อเยื่อในตาขาวมาตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์
- การตรวจเลือด เพื่อหาการติดเชื้อ และการทำงานของระบภูมิคุ้มกัน
- การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Ultrasonography) ในการสังเกตความผิดปกติรอบ ๆ ตาขาว
การรักษา อาการตาขาวอักเสบ โดยแพทย์
ในการรักษาอาการตาขาวอักเสบ แพทย์มักมุ่งเน้นไปยังการต้านการอักเสบที่เกิดขึ้นกับบริเวณตาขาวของคุณ ด้วยยารักษาต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับอาการที่คุณเผชิญ ดังนี้
- ยาต้านอักเสบไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) มักใช้ช่วยลดการอักเสบ และบรรเทาอาการปวด
- ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ เช่น เพรดนิโซโลน (Prednisolone) ในกรณีที่ยา NSAIDs ไม่สามารถช่วยลดอาการอักเสบได้
- ยากระตุ้นภูมิคุ้มกัน ที่มีกลูโคคอร์ติคอยด์(Glucocorticoids) อาจจำเป็นต้องใช้ในที่คุณมีอาการรุนแรง
- ยาต้านเชื้อราที่เกิดจากกลุ่มอาการโจเกรน (Sjogren’s Syndrome)
หากแพทย์วินิจฉัยแล้วว่าคุณอยู่ในเกณฑ์ของอาการรุนแรง หรือมีการฉีกขาดส่วนเนื้อเยื่อภายในอาจต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดเข้ามาเสริม เพื่อเร่งซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหาย และบำรุงกล้ามเนื้อ ก่อนสูญเสียการมองเห็นไปได้อย่างถาวร
ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตนเอง
การเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และการเยียวยาตนเองที่ช่วยรับมือกับอาการตาขาวอักเสบ
ตาขาวอักเสบถือเป็นโรคที่ค่อนข้างส่งผลเสียต่อด้านการมองเห็น ทำให้คุณอาจต้องเข้ารับการตรวจจากจักษุแพทย์อีกครั้ง หลังจากอาการหายไปเพื่อความมั่นใจ และรับคำปรึกษาเกี่ยวกับวิธีการป้องกันที่ถูกต้องเหมาะสม เนื่องจากภาวะสุขภาพของแต่ละบุคคลนั้นมีแตกต่างกัน จึงจำเป็นอย่างมากที่ต้องได้รับการประเมินจากแพทย์อย่างละเอียดเสียก่อน