ระยะที่ 3 ระยะโรคเอดส์ (AIDS)
ผู้ป่วยในระยะนี้จะถือว่าเป็นผู้ป่วยโรคเอดส์ (AIDS; Acquired Immune Deficiency Syndrome) หมายถึง ผู้ที่มีกลุ่มอาการภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือกลุ่มอาการที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี นั่นเอง
โรคเอดส์ถือเป็นการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีในระยะสุดท้าย เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันถูกไวรัสเอชไอวีทำลายจนเสียหายร้ายแรง ร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับโรคติดเชื้อฉวยโอกาส (Opportunistic Infection) เช่น วัณโรค ปอดบวม รวมถึงโรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งปอด มะเร็งปากมดลูก มะเร็งต่อมน้ำเหลือง นอกจากจะติดเชื้อโรคเหล่านี้ได้ง่ายกว่าคนปกติแล้ว ผู้ป่วยในระยะโรคเอดส์ยังจะมีอาการรุนแรง เรื้อรัง และมีโอกาสเสียชีวิตสูงกว่า จึงต้องรักษาด้วยการรับประทานยาหลายชนิดในปริมาณมาก ผู้ติดเชื้อเอชไอวีในระยะเอดส์สามารถแพร่เชื้อเอชไอวีให้ผู้อื่นได้ง่ายมาก และหากไม่รักษา ส่วนใหญ่จะมีชีวิตอยู่ได้ประมาณ 3 ปี
ติดเชื้อเอชไอวี ไม่จำเป็นต้องเป็นเอดส์เสมอไป
เอชไอวีคือเชื้อไวรัส ส่วนเอดส์คือกลุ่มอาการที่เกิดจากการติดเชื้อเอชไอวี แต่ก็ใช่ว่าผู้ติดเชื้อเอชไอวีทุกคนจะต้องเป็นโรคเอดส์เสมอไป เพราะหากผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง และดูแลสุขภาพร่างกายตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้หลายปี โดยที่การติดเชื้อไม่พัฒนาไปสู่ระยะที่ 3 หรือระยะที่เป็นโรคเอดส์ ซึ่งผู้ป่วยบางรายอาจมีชีวิตอยู่ได้นานพอ ๆ กับผู้ที่ไม่ติดเชื้อเลยทีเดียว
การวินิจฉัยผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยโรคเอดส์
การติดเชื้อไวรัสเอชไอวีสามารถวินิจฉัยได้ด้วยการตรวจเลือดและน้ำลาย เพื่อหาว่ามีแอนติบอดีหรือภูมิต้านทานที่ระบบภูมิคุ้มกันสร้างขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับไวรัสชนิดนี้หรือไม่ แต่การจะตรวจหาภูมิต้านเอชไอวี (HIV antibody test) ให้ได้ผลที่ถูกต้อง ต้องตรวจหลังจากติดเชื้อมาแล้วหลายอาทิตย์ ต่างจากการวินิจฉัยอีกหนึ่งวิธี คือ การตรวจจับแอนติเจน ที่สามารถตรวจพบเชื้อเอชไอวีหลังจากรับเชื้อเพียงไม่กี่วันเท่านั้น
แต่สำหรับการวินิจฉัยเอดส์ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวี แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคเอดส์ได้จากการนับจำนวนเซลล์ที่มีซีดีโฟร์ (CD4) ซึ่งมักจะพบบนผิวเซลล์ภูมิคุ้มกันของร่างกาย คนปกติที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวีจะมีซีดีโฟร์ 500-1,200 เซลล์/ลบ.มม. แต่ผู้ป่วยเอดส์จะมีซีดีโฟร์ต่ำกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม. และอีกปัจจัยที่แพทย์ใช้ในการวินิจฉัยเอดส์ก็คือ สังเกตอาการแทรกซ้อน หากผู้ติดเชื้อเอชไอวีป่วยเป็น โรคติดเชื้อฉวยโอกาสที่เกิดจากเชื้อไวรัส เชื้อรา หรือเชื้อแบคทีเรียที่ปกติไม่อันตรายต่อร่างกายคนปกติ นั่นอาจหมายถึงการติดเชื้อเข้าสู่ระยะสุดท้าย หรือระยะเอดส์แล้ว
เอชไอวีแพร่เชื้อทางไหนได้บ้าง
เชื้อไวรัสเอชไอวีสามารถแพร่กระจายในคนได้ ผ่านการแลกเปลี่ยนของเหลวในร่างกาย ซึ่งเกิดจากการทำกิจกรรมเหล่านี้
กิจกรรมทางเพศ
เชื้อเอชไอวีสามารถแพร่ผ่านของเหลวในร่างกาย เช่น น้ำอสุจิ ของเหลวในช่องคลอด ดังนั้น หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีเชื้อนี้อยู่ในร่างกาย แล้วทำกิจกรรมทางเพศ หรือมีเพศสัมพันธ์ไม่ว่าจะทางปาก ทางช่องคลอด ทางทวารหนัก โดยไม่ใช้อุปกรณ์ป้องกัน เช่น ถุงยางอนามัย แผ่นยางอนามัย ก็อาจแพร่เชื้อเอชไอวีสู่อีกฝ่ายได้
การตั้งครรภ์หรือคลอดลูก
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย