ช่องคลอดมีกลิ่น ป้องกันได้อย่างไร
รักษาความสะอาดอยู่เสมอ
ควรอาบน้ำเป็นประจำ โดยเฉพาะหลังออกกำลังกาย และต้องไม่ลืมล้างหรือเช็ดทำความสะอาดบริเวณภายนอกของช่องคลอดด้วยผ้าเปียก หรือน้ำสบู่อ่อน ๆ เพื่อขจัดเหงื่อ สิ่งสกปรก รวมไปถึงเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ไม่ให้ตกค้างและหมักหมม หลีกเลี่ยงการใช้สบู่หรือครีมอาบน้ำที่มีส่วนผสมของน้ำหอมหรือสารเคมีรุนแรง เพราะอาจทำให้สภาพความเป็นกรดด่างตามธรรมชาติของจุดซ่อนเร้นเกิดการเปลี่ยนแปลง
เปลี่ยนกางเกงชั้นใน
กางเกงชั้นในที่ทำจากเส้นใยสังเคราะห์ เช่น ผ้าซาติน ผ้าโพลีเอสเตอร์ อาจทำให้จุดซ่อนเร้นอับชื้นเกินไป ส่งผลให้ระดับแบคทีเรียตามธรรมชาติแปรปรวน จนเกิดกลิ่นที่จุดซ่อนเร้นได้ นอกจากนั้น ควรเปลี่ยนมาสวมใส่กางเกงในที่ทำจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น ผ้าฝ้าย 100% แทน เพราะผ้าฝ้ายเป็นเนื้อผ้าที่โปร่งสบาย ช่วยดูดซับเหงื่อและของเหลวจากร่างกาย และระบายอากาศได้ดี จึงไม่ทำให้อับชื้น และเกิดปัญหาช่องคลอดมีกลิ่น
ปรับเปลี่ยนอาหารการกิน
หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ช่องคลอดมีกลิ่น และกินอาหารที่มีโปรไบโอติกส์ (Probiotics) หรือแบคทีเรียดี เช่น โยเกิร์ต เพื่อปรับสมดุลของแบคทีเรียในช่องคลอด
ลดน้ำหนัก
บางครั้งโรคอ้วน หรือน้ำหนักตัวที่มากเกินไปก็อาจทำให้มีเหงื่อออกมาก หรือมีปัญหากลิ่นตัว ซึ่งอาจส่งผลให้ช่องคลอดมีกลิ่นได้ง่าย นอกจากนั้นควรลดน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพราะนอกจากจะช่วยลดปัญหากลิ่นที่จุดซ่อนเร้น ยังช่วยลดการเกิดปัญหาสุขภาพโดยรวมได้ด้วย
ควรไปพบคุณหมอเมื่อไหร่
- ลองรักษาด้วยตัวเองแล้วอาการไม่ดีขึ้น
- ช่องคลอดมีกลิ่นมานาน หรือมีกลิ่นแรงขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะหากมีกลิ่นคาว เหมือนคาวปลา
- ตกขาวผิดปกติ คือเปลี่ยนจากเป็นมูกเหลวใส หรือสีขาวคล้ายแป้งเปียกไปเป็นสีอื่น ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าช่องคลอดติดเชื้อ
- มีอาการคันที่บริเวณช่องคลอด (Pruritus Vulvae)
- เจ็บหรือแสบที่บริเวณช่องคลอด
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย