เจาะสะดือ เป็นการเสริมความงามที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่น โดยใช้อุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานและเครื่องประดับหลายรูปแบบเจาะไปบนผิวหนังบริเวณสะดือ แต่การเจาะสะดืออาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ รอยแผล อาการแพ้ หากอุปกรณ์ไม่ได้มาตรฐานหรือไม่มีการดูแลแผลอย่างเหมาะสม
[embed-health-tool-bmi]
เจาะสะดือ คืออะไร
การเจาะสะดือ คือ การนำเครื่องประดับหลายรูปทรงมาเจาะเข้าผิวหนังบริเวณสะดือ ซึ่งใช้ระยะเวลาในการเจาะเพียงไม่กี่นาที แต่อาจต้องใช้เวลานานในการรักษาแผลบริเวณที่เจาะให้หายดี ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
ความปลอดภัยของการเจาะสะดือ
ก่อนตัดสินใจเจาะสะดืออาจจำเป็นต้องปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นภายหลังการเจาะ
- พิจารณาร้านและช่างเจาะที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานความสะอาด โดยอาจตรวจเช็คใบอนุญาตและประสบการณ์ของช่างเจาะ
- ตรวจสอบเข็มเจาะว่าสะอาดหรือไม่ เข็มควรอยู่ในถุงที่ปิดสนิท ปลอดเชื้อ และควรเป็นเข็มที่ใช้แล้วทิ้ง
- เลือกเครื่องประดับให้เหมาะสม ควรทำจากวัสดุที่ได้มาตรฐานทางการแพทย์ เช่น ทองคำ 14 หรือ 18K ไทเทเนียม (Titanium) ไนโอเบียม (Niobium) สแตนเลสเกรดเครื่องมือแพทย์ (Surgical Steel) ทองคำขาว (Platinum) วัสดุชนิดแก้ว เช่น แก้วควอตซ์ผสม (Fused quartz glass) แก้วบอโรซิลิเกตไร้สารตะกั่ว (Lead-free borosilicate) แก้วโซดาไลม์ไร้สารตะกั่ว (Lead-free soda-lime glass) พลาสติกยืดหยุ่นไบโอเฟล็กซ์ (Bioflex) นอกจากนั้น ควรเลือกเครื่องประดับที่มันเงา ไม่เป็นสนิม ไม่มีรอยบุบ รอยขีดข่วน หรือขอบที่ขรุขระ หลีกเลี่ยงโลหะผสมนิกเกิลและทองเหลือง เพื่อช่วยลดโอกาสการเกิดอาการแพ้
ความเสี่ยงของการเจาะสะดือ
หลังจากการเจาะสะดือจำเป็นต้องดูแลแผลและรักษาความสะอาดเป็นประจำ เนื่องจากการเจาะสะดืออาจเพิ่มความเสี่ยง ดังนี้
- การติดเชื้อ การเจาะสะดือมีแนวโน้มที่จะติดเชื้อมากกว่าส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย เนื่องจากรูปร่างของสะดือที่มีลักษณะบุ๋มลึก อาจเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียได้ง่าย และหากเข็มเจาะไม่ผ่านการฆ่าเชื้อก็อาจมีโอกาสที่จะติดเชื้อที่รุนแรงจนก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ เช่น โรคตับอักเสบ โรคบาดทะยัก
- แผลฉีกขาด หากเครื่องประดับที่ใช้เจาะสะดือเกี่ยวกับกับสิ่งของ เสื้อผ้า อาจทำให้ผิวบริเวณสะดือฉีกขาดได้ง่าย
- ปฏิกิริยาการแพ้ มักเกิดจากสารนิกเกิล (Nickel) ที่อยู่ในเครื่องประดับ ที่เป็นสาเหตุของผื่นแพ้สัมผัส อาจทำให้มีอาการบวมแดง ตุ่มน้ำ อาการแสบ และคัน
- รอยแผลเป็น การเจาะสะดืออาจทำให้เกิดแผลเป็นหนาและเป็นก้อน หรือที่เรียกว่า คีลอยด์ (Keloids) โดยอาจก่อตัวขึ้นรอบ ๆ บริเวณที่เจาะ ซึ่งควรไปพบคุณหมอเพื่อทำการรักษาด้วยวิธีการฉีดยาสเตียรอยด์ ลดการอักเสบของการเกิดเป็นแผลเป็นที่นูนเกินไป หรือการผ่าตัดเพื่อลดขนาดหรือตัดแผลเป็นนูนออก
- เครื่องประดับเคลื่อนหลุดออกจากสะดือ ความเสี่ยงนี้อาจเกิดขึ้นได้หากเจาะผิดตำแหน่ง หากเครื่องประดับมีขนาดเล็กเกินไป หรือมีคุณภาพต่ำ อาจทำให้ร่างกายปฏิเสธเครื่องประดับและดันออกมานอกร่างกาย หากสังเกตเห็นว่าเครื่องประดับกำลังจะหลุดให้ถอดเครื่องประดับออกแล้วปล่อยให้แผลหาย แต่หากสังเกตเห็นอาการติดเชื้อ บวม แดง เจ็บปวด ควรพบคุณหมอเพื่อทำการรักษา ในบางคนการปฏิเสธอุปกรณ์เจาะอาจเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวหรือหลายครั้ง ให้ลองใช้วัสดุเครื่องประดับประเภทอื่น เช่น ไนโอเบียม ไททาเนียม แทนสแตนเลส หรือเลือกเครื่องประดับที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
หากต้องการให้รอยเจาะคงอยู่เป็นระยะเวลานาน ควรใส่เครื่องประดับไว้ตลอดเวลาจนกว่าแผลจะหายสนิท อาจต้องใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับร่างกายของบุคคลและการดูแลแผล หากแผลหายสนิทดีสามารถถอดเครื่องประดับออกมาทำความสะอาด หรือเปลี่ยนแบบใหม่ได้ แต่ไม่ควรปล่อยรอยเจาะทิ้งไว้เป็นเวลานานโดยไม่ใส่เครื่องประดับ เพราะรอยเจาะอาจสมานตัวได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ และอาจทำให้ตันได้
การดูแลหลังการเจาะสะดือ
การเจาะสะดืออาจต้องใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปีกว่าแผลจะหายได้ จึงจำเป็นต้องดูแลแผลเป็นพิเศษเพื่อป้องกันการติดเชื้อและปัญหาอื่น ๆ ดังนี้
- ล้างมือให้สะอาด หลังจากการเจาะไม่ควรสัมผัสบริเวณแผลบ่อยครั้ง เพราะแผลอาจอักเสบและติดเชื้อจากการสัมผัสได้
- เช็ดด้วยน้ำเกลือ อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง เพื่อทำความสะอาจและลดการสะสมของแบคทีเรีย โดยการเช็ดบริเวณที่เจาะด้วยผ้าก๊อซสะอาดหรือสำลีชุบน้ำเกลือ หรืออาจใช้สบู่สูตรอ่อนโยนไม่มีน้ำหอมเช็ดบริเวณแผล และล้างออกด้วยน้ำให้สะอาด
- หลีกเลี่ยงการทำความสะอาดมากเกินไป การทำความสะอาดบ่อยเกินไปอาจทำให้แผลสมานตัวช้าลงได้
- หลีกเลี่ยงการแกะสะเก็ดแผล บริเวณที่เจาะอาจมีของเหลวสีเหลืองที่แข็งตัวเป็นก้อน ทำให้อาจมีอาการตึงและคัน ไม่ควรแกะหรือเกาเพราะอาจทำให้แผลฉีกหรือติดเชื้อได้
- ไม่ควรทาผลิตภัณฑ์ใด ๆ บริเวณที่เจาะ เช่น โลชั่น น้ำมัน น้ำหอม ครีมต้านเชื้อแบคทีเรีย ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ เพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจชะลอการสมานตัวของแผล หรืออาจเป็นแหล่งสะสมแบคทีเรียในสะดือได้ เว้นแต่จะเป็นยาที่สั่งโดยคุณหมอ
- สวมเสื้อผ้าสะอาด หลวม และนุ่ม เพราะการใส่เสื้อผ้าคับ ผ้าหยาบอาจสร้างแรงเสียดสีกับสะดือ ซึ่งอาจทำให้แผลฉีกขาดหรือการสมานตัวของแผลช้าลง
- ไม่ควรให้แผลโดนน้ำหรือแช่น้ำเป็นเวลานาน แต่ถ้าหากแผลโดนน้ำ ควรซับแผลให้แห้งด้วยผ้าก๊อซหรือสำลีสะอาด หรือหากเป็นน้ำสกปรกให้เช็ดแผลด้วยแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อหรือล้างแผลด้วยสบู่อ่อนโยน จากนั้นซับแผลให้แห้งสนิท
- หลีกเลี่ยงเครื่องประดับที่มีลักษณะห้อยเป็นระย้า เพราะเครื่องประดับเหล่านี้อาจไปเกี่ยวกับสิ่งของหรือเสื้อผ้า อาจทำให้แผลฉีกขาดได้
- สังเกตอาการติดเชื้อ เช่น รอยแดง บวม หนอง อาการเจ็บปวด มีไข้ เหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ ควรพบคุณหมอทันที
ใครไม่ควรเจาะสะดือ
ปัญหาสุขภาพบางประการอาจทำให้แผลหายช้า หรืออาจทำให้เกิดปฏิกิริยาแพ้เมื่อเจาะสะดือ ดังนี้
- โรคเบาหวาน อาจทำให้แผลหายช้าและติดเชื้อได้ง่าย
- โรคฮีโมฟีเลีย คือ ความผิดปกติเกี่ยวกับอาการเลือดออกที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ซึ่งทำให้เลือดไม่สามารถแข็งตัว
- โรคภูมิแพ้ตัวเอง อาจเสี่ยงแพ้สารนิกเกิลในเครื่องประดับ
- ปัญหาหัวใจ อาจมีผลต่อการสมานตัวของแผล
- ปัญหาผิวหนังบริเวณสะดือ เช่น แผลเปิด ผื่น ไฝ
- การตั้งครรภ์หรือน้ำหนักเกิน อาจเพิ่มความเสี่ยงให้เครื่องประดับเคลื่อนตัวจนเกิดแผลได้
เมื่อไหร่ควรรีบพบคุณหมอ
หลังจากการเจาะภายใน 24 ชั่วโมง หากมีอาการเจ็บปวด บวมแดงรุนแรงขึ้น หรือการติดเชื้อกระจายไปยังส่วนอื่น หรือมีปัญหาสุขภาพเหล่านี้ควรรีบเข้าพบคุณหมอ
- มีไข้ บริเวณที่เจาะเจ็บปวดมาก บาดแผลกว้าง
- หลังจากการเจาะสะดือมีกลิ่นเหม็น
- บริเวณที่เจาะมีสีแดง อุ่น หรือมีริ้วสีแดงบนผิวหนัง
- อาการติดเชื้อรุนแรงขึ้น หรืออาการแพ้ไม่หายไปหลังจากเจาะประมาณ 2-3 วัน