คันรักแร้ เป็นอาการคันและระคายเคืองผิวบริเวณใต้วงแขนหรือรักแร้ที่อาจเกิดจากการมีเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อราสะสมที่รักแร้ ร่วมกับการมีเหงื่อออกมาก จนทำให้เกิดอาการคัน และอาจเกิดจากการโกนขนรักแร้ การเสียดสีของผิวหนัง รวมไปถึงภาวะสุขภาพ เช่น โรคผื่นแพ้สัมผัส โรคภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบ การติดเชื้อแคนดิดา ทั้งนี้ การดูแลสุขอนามัยให้ดี การใช้ยาบรรเทาอาการคัน ยาปฏิชีวนะ และยาต้านเชื้อรา อาจช่วยให้อาการคันรักแร้ลดลงและไม่เกิดขึ้นซ้ำอีกในภายหลัง
คันรักแร้เกิดจากอะไร
คันรักแร้ เป็นอาการระคายเคืองบริเวณใต้วงแขนที่อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น
- เหงื่อ รักแร้เป็นบริเวณที่มีต่อมเหงื่อเยอะ เหงื่อที่รักแร้อาจไปรวมตัวกับเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และทำให้เกิดการอักเสบและระคายเคืองผิวจนทำให้คันรักแร้ นอกจากนี้ รักแร้ยังเป็นบริเวณที่อุ่นและชื้น หากรักษาความสะอาดได้ไม่ดี อาจทำให้แบคทีเรียและเชื้อราเจริญเติบโต จนทำให้เกิดอาการคันได้
- ขนรักแร้และการโกนขน วัยรุ่นที่ขนรักแร้เริ่มขึ้นอาจรู้สึกระคายเคืองผิวได้ อีกทั้งการโกนขนรักแร้ด้วยใบมีดที่ไม่เหมาะสมหรือไม่สะอาด หรือการโกนขนขณะผิวแห้ง ก็อาจทำให้คันรักแร้ได้ นอกจากนี้ ขนที่แทงขึ้นใหม่หลังจากโกนก็ทำให้คันรักแร้ได้เช่นกัน
- การเสียดสีของผิวหนัง ผิวหนังบริเวณรักแร้มักจะสัมผัสหรือเสียดสีกับผิวหนังข้างลำตัวหรือเสื้อผ้าอยู่เป็นประจำ จึงจนอาจเกิดการระคายเคืองและทำให้รู้สึกคัน ซึ่งพบได้บ่อยในผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก
โรคผิวหนังดังต่อไปนี้ ก็อาจทำให้เกิดอาการคันรักแร้ได้เช่นกัน
โรคผื่นแพ้สัมผัส (Contact Dermatitis) อาจเกิดจากผิวหนังบริเวณรักแร้สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ (Allergic contact dermatitis) ทำให้มีอาการแพ้ เกิดเป็นผื่นแดงและคัน หรือการสัมผัสสารเคมีที่ทำให้ผิวระคายเคือง (Irritant contact dermatiti) เช่น น้ำยาซักผ้า น้ำยาปรับผ้านุ่ม สบู่ โรลออนระงับกลิ่น น้ำหอม ที่มีสารเคมีอย่างลาโนลิน (Lanolin) พาราเบน แอลกอฮอล์ โพรพิลีนไกลคอล (Propylene glycol) จนทำให้เกิดอาการคัน โดยการสัมผัสสารระคายเคืองมักทำให้รักแร้คันได้บ่อยกว่าการสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ โรคภูมิแพ้ผิวหนังอักเสบ (Atopic Dermatitis) เป็นโรคผิวหนังอักเสบที่อาจทำให้มีผิวแห้งเป็นขุย มีผื่นแดง มีอาการคัน แบบเป็น ๆ หาย ๆ เมื่อมีเหงื่อสะสมบริเวณข้อพับอย่างรักแร้ อาจทำให้เกิดเป็นผื่นแพ้เหงื่อ ลักษณะเป็นตุ่มแดงนูนหรือเป็นตุ่มน้ำใส แตกออกเป็นของเหลวออกเหลืองเยิ้ม และทำให้รู้สึกคันมาก ๆ เมื่อมีเหงื่อออก โรครูขุมขนอักเสบ (Folliculitis) เป็นการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส หรือเชื้อราจนเกิดการอักเสบ โดยส่วนใหญ่จะเป็นเชื้อแบคทีเรียสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส (Staphylococcus Aureus) ทำให้มีตุ่มนูนแดงหรือตุ่มหนองบริเวณรูขุมขนกระจายหลายตุ่ม ส่งผลให้มีอาการคัน ปวด กดแล้วรู้สึกเจ็บ การติดเชื้อแคนดิดา (Candida infection) มักพบบริเวณที่อับชื้น ทำให้เกิดเป็นตุ่มแดงนูน คัน และอาจส่งกลิ่นเหม็น อาจเกิดจากการมีน้ำหนักเกินมาตรฐาน โรคเบาหวาน การใช้ยาปฏิชีวนะ เป็นต้น โรคสะเก็ดเงินบริเวณซอกพับ (Inverse psoriasis) เป็นโรคผิวหนังที่ทำให้เกิดผื่นบริเวณซอกพับอย่างรักแร้ ขาหนีบ ใต้ราวนม ทำให้มีผื่นแดงหรือชมพูหรือเป็นแผ่นหนาเรียบเนียน ขอบชัด และมีอาการระคายเคืองร่วมด้วย ผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณซอกพับ (Intertrigo) เป็นภาวะผิวหนังอักเสบที่เกิดจากผิวหนังบริเวณข้อพับเสียดสีกัน เมื่อเกิดร่วมปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความร้อน เหงื่อ อาจทำให้เชื้อราและแบคทีเรียเจริญเติบโตมากเกินไปจนผิวหนังอักเสบ เกิดผื่นแดง เป็นขุย คัน มักพบในผู้ที่มีน้ำหนักเกิน โรคกลาก (Ringworm) เป็นโรคติดเชื้อราเดอร์มาโตไฟต์ (Dermatophyte) ทำให้เกิดผื่นสีชมพู แดง หรือขาว ลักษณะเป็นวงกลม มีขอบเขตชัดเจนบนผิวหนัง ร่วมกับมีขุยเด่นที่ขอบ ทำให้เกิดอาการคันและระคายเคืองบริเวณรักแร้ ภาวะที่มีเหงื่อออกมากผิดปกติ (Hyperhidrosis) เป็นภาวะที่ทำให้ร่างกายขับเหงื่อออกตามใบหน้า มือ เท้า รักแร้ หรือทั้งตัว มากกว่าปกติ และทำให้เกิดอาการคันจากการระคายเคืองได้ การติดเชื้อแบคทีเรีย Corynebacterium minuttissimus บริเวณรักแร้ ทำให้เกิดผื่นเป็นปื้นน้ำตาลแดง เป็นวงๆ ได้ มักพบในคนที่มีเหงื่อออกมาก คันรักแร้ วิธีแก้ ทำได้อย่างไรบ้าง
การรักษาอาการ คันรักแร้ อาจทำได้ดังนี้
- อาการคันที่เกิดจากการติดเชื้อรา คุณหมอหรือเภสัชกรอาจแนะนำให้รักษาด้วยการใช้ยากำจัดเชื้อราบนผิวหนัง เช่น โคไตรมาโซล (Clotrimazole) ฟลูโคนาโซล (Fluconazole) ไอทราโคนาโซล (Itraconazole) คีโตโคนาโซล (Ketoconazole) ส่วนอาการคันที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย อาจรักษาด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างครีมหรือโลชั่นคลินดามัยซิน (Clindamycin) หรือครีมอาบน้ำที่มีส่วนประกอบของเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide)
- คุณหมออาจแนะนำให้ใช้ยาบรรเทาอาการคันอย่างไฮโดรคอร์ติโซน (Hydrocortisone) ยาต้านฮีสตามีน (Antihistamines) เพื่อลดการอักเสบและรักษาอาการคัน
- ทาครีมบำรุงผิวและเจลป้องกันการเสียดสี (Anti-chafing gels) ที่มีส่วนผสมของซิงค์ออกไซด์ (Zinc oxide) ปิโตรเลียมเจลลี (Petroleum jelly) เพื่อสร้างเกราะป้องกันผิวและลดการเสียดสีที่ทำให้เกิดอาการคันรักแร้
- หากอาการคันเกิดจากผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ใช้ ควรเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์อื่นที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรืออาการแพ้ และไม่มีส่วนประกอบของน้ำหอม แอลกอฮอล์
- ใช้ผ้าห่อน้ำแข็งหรือเจลเย็นประคบบริเวณรักแร้ประมาณ 5-10 นาที เพื่อช่วยบรรเทาอาการแสบ บวม และคันรักแร้
- เปลี่ยนมีดโกนที่ใช้โกนขนรักแร้ หรือหลีกเลี่ยงการโกนขนจนกว่าอาการคันหรือการติดเชื้อจะหายไป
- ไม่ควรโกนขนจนชิดผิวหนังมากเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวหนังบริเวณรักแร้บาดเจ็บ และเสี่ยงเกิดขนคุด
- หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อที่รัดแน่นและทำให้มีเหงื่อสะสมบริเวณรักแร้ และเลือกเสื้อที่ระบายอากาศได้ดี ไม่รัดแขนเกินไป
- รักษาโรคที่เป็นอยู่ให้หายหรือดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมเพื่อควบคุมอาการของโรคที่เป็นอยู่
นอกจากนี้ การดูแลสุขอนามัยอย่างเหมาะสมด้วยวิธีดังต่อไปนี้ ก็อาจช่วยให้อาการคันรักแร้ดีขึ้นและป้องกันการเกิดอาการซ้ำในภายหลังได้
- อาบน้ำเป็นประจำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ถูสบู่ใต้วงแขนให้สะอาดทุกครั้งเมื่ออาบน้ำ และอาบน้ำบ่อยขึ้นหากมีเหงื่อออกเยอะ
- หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อนจัด ให้อาบน้ำอุ่นหรือน้ำอุณหภูมิปกติ และไม่ควรอาบนานเกิน 10 นาที
- เช็ดตัวให้แห้งด้วยผ้าเช็ดตัวสะอาด และหลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
- ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์เป็นประจำเพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้น
- อยู่ในที่ ๆ มีอากาศเย็น อากาศถ่ายเทสะดวก มีพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศ เพื่อลดการเกิดเหงื่อ