โรคฝีในตับ หรือฝีตับ (Liver Abscess) คือหนองในตับที่มีอาการติดเชื้อในรูขนาดเล็ก ตับเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่หลายประการ รวมทั้งกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย เมื่อมีการติดเชื้อปรสิตที่ตับ อาจเกิดรูเล็ก ๆ และเกิดหนองขึ้น
ฝีในตับ คืออะไร
โรคฝีในตับ หรือฝีตับ (Liver Abscess) คือ โรคที่เกิดจากตับติดเชื้อ ทำให้ตับเป็นหนองหรือเป็นฝี ซึ่งอาจเป็นฝีจุดเดียวหรือหลายจุดก็ได้ ภาวะนี้พบได้ในคนทุกเพศทุกวัย และหากอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่สุขอนามัยไม่ดี ก็อาจยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้
ตับเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่กักเก็บพลังงานและโปรตีน รวมทั้งกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย หากมีฝีในตับ จะส่งผลต่อการทำงานของตับ และหากปล่อยไว้ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
อาการของ ฝีในตับ
โรคฝีในตับ อาจก่อให้เกิดอาการดังต่อไปนี้
- มีไข้
- รู้สึกหนาวสั่น
- เหงื่อออก
- คลื่นไส้และอาเจียน
- ท้องร่วง หรือปวดท้องด้านขวาบน
- อาการอื่น ๆ ที่พบได้ไม่บ่อย เช่น เจ็บหน้าอก เบื่ออาหาร ผิวหรือตาขาวเป็นสีเหลืองหรือดีซ่าน
หากมีอาการข้างต้น ควรรีบไปพบคุณหมอ เพราะโรคฝึในตับอาจส่งผลให้เกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
สาเหตุของฝีในตับ
โรคฝีในตับ เกิดจากสาเหตุหลัก 3 ประการ ดังนี้
- ฝีในตับจากเชื้อแบคทีเรีย (Pyogenic Liver Abscess) เป็นโรคฝีในตับชนิดที่พบได้บ่อย ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อเบอร์โคเดอเรีย สูโดมัลลิอาย (Burkholderia Pseudomallei) เชื้อสแตฟฟิโลคอกคัส (Staphylococcus) เชื้อซาลโมเนลล่า (Salmonella) มักทำให้เกิดฝีในตับหลายจุด และอาจส่งผลให้เกิดอาการอักเสบในอวัยวะต่าง ๆ เช่น ไส้ติ่งอักเสบ ถุงผนังลำไส้อักเสบ ถุงน้ำดีอักเสบ
- ฝีในตับจากอะมีบา หรือฝีบิดในตับ (Amoebic Liver Abscess) เกิดจากการติดเชื้อเอนตามีบา ฮีสโตไลติกา (Entamoeba histolytica) หรือเชื้อบิดชนิดมีตัวที่อาศัยอยู่ในลำไส้ใหญ่ อาจเข้าสู่ร่างกายผ่านการบริโภคอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อบิด
- ฝีในตับจากเชื้อรา (Fungal Liver Abscess) ส่วนใหญ่เป็นเชื้อราชนิดแคนดิดา (Candida)
ปัจจัยเสี่ยงของฝีในตับ
ปัจจัยต่อไปนี้อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคฝีในตับได้
- การรับประทานอาหารที่ไม่ผ่านการรับรองความปลอดภัย ไม่ผ่านการปรุงสุก หรือไม่ถูกสุขลักษณะ
- ปัญหาเกี่ยวกับตับ เช่น ภาวะตับติดเชื้อ ภาวะตับทำงานบกพร่อง
- ผู้หญิงอาจเสี่ยงเป็นโรคฝีในตับได้มากกว่าผู้ชาย
- คนอายุ 60-70 ปีอาจเสี่ยงติดเชื้อได้มากกว่า
การวินิจฉัยและการรักษาโรคฝีในตับ
ข้อมูลที่นำเสนอในที่นี้ ไม่สามารถใช้แทนข้อแนะนำทางการแพทย์ ให้ปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
การวินิจฉัยฝีในตับ
วิธีวินิจฉัยโรคฝีในตับที่นิยมใช้ คือ การอัลตราซาวด์ และการตรวจซีทีสแกน ในบางกรณี คุณหมออาจสอดเข็มเข้าไปในช่องท้องเพื่อเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อฝีในตับมาตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์
การรักษาฝีในตับ
วิธีที่ดีที่สุดในการรักษาโรคฝีในตับ คือ การกำจัดฝีหรือหนองและให้ยาปฏิชีวนะ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะที่แตกต่างกันสองถึงสามชนิด โดยปกติแล้ว จะให้ยาปฏิชีวนะผ่านทางหลอดเลือดจนกว่าอาการไข้และอาการอักเสบจะหายไป และคุณหมออาจใช้สอดเข็มเข้าไปที่ฝีในตับเพื่อระบายหนองออก
การดูแลตัวเองเพื่อรับมือกับโรคฝีในตับ
ผู้ป่วยโรคฝีในตับจากการติดเชื้อแบคทีเรียส่วนใหญ่จะมีอาการดีขึ้นภายใน 2 สัปดาห์หลังจากให้ยาปฏิชีวนะและระบายหนองออก สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคฝีในตับจากเชื้ออะมีบา อาการไข้จะทุเลาลงภายใน 4 -5 วัน หลังรับการรักษา ซึ่งผู้ป่วยควรดูแลตัวเองด้วยวิธีที่เหมาะสมดังต่อไปนี้ เพื่อช่วยให้การรักษาโรคมีประสิทธิภาพที่สุด
- ใช้ยาปฏิชีวนะตามคุณหมอสั่งอย่างเคร่งครัด
- เข้ารับการตรวจและติดตามอาการตามนัดหมายทุกครั้ง
- ดูแลสุขอนามัยให้ดี เช่น ล้างมือก่อนรับประทานอาหารและหลังใช้ห้องน้ำทุกครั้ง
- ไปพบคุณหมอทันทีหากมีอาการปวดท้อง อาเจียน มีไข้ ท้องร่วง เหงื่อออก รู้สึกหนาว หรือมีอาการดีซ่าน