น้ำเต้าหู้ เป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่หลายๆ คนเลือกดื่มในยามเช้า เพราะนอกจากจะให้อิ่มท้องแล้ว ก็ยังมีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย ทั้งมีแคลเซียมสูง ช่วยบำรุงสุขภาพของกระดูกและฟัน อีกทั้งยังมีโปรตีนสูงและมีไขมันต่ำ ดังนั้น จึงควรเรียนรู้ สูตรน้ำเต้าหู้ แบบทำง่าย ๆ และดีต่อสุขภาพ
[embed-health-tool-bmi]
น้ำเต้าหู้ มีประโยชน์อย่างไร
โดยปกติแล้วในนมนั้นจะอุดมไปด้วยแคลเซียม ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก ซึ่งในน้ำเต้าหู้ หรือนมถั่วเหลือง ก็อุดมไปด้วยแคลเซียมเช่นกัน แต่นอกจากนั้นยังอุดมไปด้วยโปรตีน ทั้งยังมีไขมันอิ่มตัวต่ำอีกด้วย จึงสามารถบอกได้ว่า น้ำเต้าหู้ นั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพ
นอกจากนั้นจากการศึกษายังพบด้วยว่า น้ำเต้าหู้ ยังอุดมไปด้วย ไอโซฟลาโวน (Isoflavones) ซึ่งเป็นสารเคมีจากพืชที่อยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า ไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogens) ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง โรคกระดูกพรุน และยังมีสารประกอบที่ช่วยลดอาการของวัยหมดประจำเดือนได้ด้วย
น้ำเต้าหู้ ดีต่อสุขภาพจริงหรือ?
ไฟโตเคมิคอล (Phytochemicals) คือสิ่งหลักที่พบได้ในถั่วเหลือง ซึ่งถั่วเหลืองถือเป็นส่วนผสมหลักที่อยู่ในน้ำเต้าหู้ หรือนมถั่วเหลืองนั่นเอง ดังนั้นการดื่มน้ำเต้าหู้ หรือนมถั่วเหลือง จึงดีต่อสุขภาพ ดังนี้
- ลดคอเลสเตอรอลและไขมัน
- ปรับปรุงภาวะเจริญพันธุ์
- ลดอาการของวัยหมดประจำเดือน
แต่ในทางกลับกัน น้ำเต้าหู้ หรือนมถั่วเหลือง ก็อาจจะมีผลเสียได้เช่นกัน ดังนี้
- ไม่ทราบผลของมะเร็งเต้านม
- ส่งผลกระทบต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์
- ส่งผลต่อฮอร์โมนเพศชาย
- ถั่วเหลืองส่วนใหญ่มีจีเอ็มโอ (Genetically Modified Organismsหรือ GMOs)
สูตรน้ำเต้าหู้
วัตถุดิบ
- ถั่วเหลือง 500 กรัม (แช่น้ำไว้ 5 ชั่วโมง)
- ใบเตย 2 ใบ
- น้ำตาลทราย 60 กรัม
- น้ำเปล่า 1,000 มิลลิลิตร
อุปกรณ์
- เครื่องปั่น
- หม้อ
- ผ้าขาวบาง
วิธีทำ
- ตักถั่วเหลือง, น้ำเปล่า ลงในโถปั่น ปั่นให้ละเอียดจากนั้นนำไปกรองด้วยผ้าขาวบาง
- รวบผ้าขาวบางและบิดผ้าให้แน่นเพื่อให้ได้น้ำเต้าหู้ลงในหม้อ
- นำน้ำเต้าหู้ลงต้มพร้อมกับใบเตย โดยใช้ไฟอ่อนในการต้ม
- เมื่อเริ่มเดือดให้เติมน้ำตาลทรายลงไปช้อนฟองเต้าหู้ทิ้งไป
- จัดเสิร์ฟได้ทั้งแบบร้อนและแบบเย็น
อย่างไรก็ตาม หากต้องการบริโภคน้ำเต้าหู้ หรือนมถั่วเหลือง ควรพิจารณาตามความเหมาะสมของร่างกายว่า ร่างกายควรได้รับ น้ำเต้าหู้ หรือนมถั่วเหลือง ในปริมาณเท่าไหร่จึงจะเหมาะสม หรือทางที่ดี ควรไปปรึกษาคุณหมอหรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้คำแนะนำที่ถูกต้อง