ตรวจน้ำตาลในเลือดแบบ Hba1c
การตรวจน้ำตาลในเลือดแบบ HbA1c ย่อมาจาก ฮีโมโกลบิน เอ วัน ซี (Hemoglobin A1C) เป็นการตรวจเลือดเพื่อให้ทราบค่าน้ำตาลเฉลี่ยในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา โดยอ้างอิงจากปริมาณน้ำตาลกลูโคสบนโปรตีนฮีโมโกลบิน อันเป็นส่วนประกอบของเม็ดเลือดแดง
ค่าน้ำตาลซึ่งตรวจแบบ Hba1c จะแสดงค่าเป็นเปอร์เซ็นต์ ดังนี้
- 6.5 เปอร์เซ็นต์ ขึ้นไป หมายถึง เป็นโรคเบาหวาน
- ระหว่าง 5.7-6.4 เปอร์เซ็นต์ หมายถึง มีภาวะก่อนเบาหวาน
- ต่ำกว่า 5.7 เปอร์เซ็นต์ หมายถึง ระดับน้ำตาลในเลือดปกติ
การตรวจความทนต่อน้ำตาล
การตรวจความทนต่อน้ำตาล (Oral Glucose Tolerance Test) คือการตรวจความสามารถในการใช้น้ำตาลของร่างกาย โดยต้องงดอาหารข้ามคืน แล้วตรวจค่าน้ำตาลในเลือด 1 ครั้ง จากนั้นดื่มของหวานที่มีน้ำตาลรสหวาน แล้วรอ 2 ชั่วโมงจึงตรวจค่าน้ำตาลอีกครั้ง โดยผลตรวจที่ได้ มีความหมายดังนี้
- 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ขึ้นไป หมายถึง เป็นโรคเบาหวาน
- ระหว่าง 140-199 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หมายถึง มีภาวะก่อนเบาหวาน (Prediabetes)
- ต่ำกว่า 140 มิลลิกรัม/เดซิลิตร หมายถึง ระดับน้ำตาลในเลือดปกติ
การตรวจเลือดแบบสุ่มเพื่อหาระดับน้ำตาลในเลือด
การตรวจเลือดแบบสุ่ม (Random Blood Sugar Test) คือการเจาะเลือดเพื่อตรวจระดับน้ำตาลในช่วงเวลาใดก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องงดอาหารก่อน และหากพบค่าน้ำตาลในเลือดเท่ากับ 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตรหรือมากกว่า จะหมายความว่าเป็นโรคเบาหวาน
อย่างไรก็ตาม ในกรณีตรวจพบค่าน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 200 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ยังไม่สามารถใช้ระบุว่าได้ว่าไม่เป็นเบาหวานหรือ มีภาวะก่อนเบาหวาน จำเป็นต้องตรวจด้วยวิธีอื่นร่วมด้วยอย่างละเอียดอีกครั้ง
ความเสี่ยงต่อสุขภาพเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูง
หากผู้ป่วยเบาหวานไม่ควบคุมน้ำหนัก ไม่วางแผนโภชนาการโดยเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีไขมันต่ำและน้ำตาลต่ำ รวมทั้งไม่ปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดในการรับประทานยาและดูแลตัวเองตามคำแนะนำของคุณหมอ อาจเพิ่มโอกาสให้ผู้ป่วยเบาหวานเผชิญกับภาวะแทรกซ้อนต่อไปนี้
- การติดเชื้อต่าง ๆ อาทิ การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ การติดเชื้อที่ผิวหนัง
- ภาวะเลือดเป็นกรด เนื่องจากมีปริมาณสารคีโตนในกระแสเลือดมากผิดปกติ ส่งผลให้มีอาการปวดหัว อ่อนเพลีย หายใจติดขัด ในกรณีรุนแรงผู้ป่วยเบาหวานอาจหมดสติหรือเสียชีวิตได้
- หลอดเลือดเสียหาย หากระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินไป จะส่งผลให้หลอดเลือดแดงแข็งขึ้นกว่า ปกติ ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก ส่งผลให้การลำเลียงเลือดและออกซิเจนไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทำได้ไม่เต็มที่ ทำให้อวัยวะต่าง ๆ ทำงานผิดปกติเกิดปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงตามมาได้
- เบาหวานขึ้นตา เกิดจากความเสียหายของหลอดเลือดจอประสาทตา ส่งผลให้ตาพร่ามัว จอประสาทตาหลุดออก หรือตาบอด
- เบาหวานลงเท้า เกิดจากการเสื่อมหรือตีบของหลอดเลือดแดงในร่างกาย ร่วมกับการเสื่อมของเส้นประสาทส่วนปลาย มีผลให้ผู้ป่วยรู้สึกชาหรือร้อนวูบวาบที่เท้าข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้าง ผู้ป่วยอาจไม่รู้สึกเจ็บเมื่อเกิดบาดแผลที่เท้า เช่น เดินสะดุด ผิวแห้งแตก ทำให้แผลไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที จนส่งผลให้เกิดแผลเรื้อรังที่เท้า และเป็นอันตรายหากแผลเน่าเปื่อยหรือลุกลามอาจร้ายแรงจนถึงขั้นทำให้ต้องตัดเท้า
- โรคไตจากเบาหวาน หลอดเลือดที่ไตอาจถูกทำลายเนื่องจากปริมาณน้ำตาลในเลือดที่สูงเกินปกติ ทำให้ไตไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ผู้ป่วยจะมีโปรตีนรั่วไหลในปัสสาวะ มือ-เท้าบวม ไม่อยากอาหาร และมีอาการสับสน
ทั้งนี้ ผู้ป่วยเบาหวาน ควรหมั่นตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ และปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมออย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเป็นอันตรายแก่สุขภาพได้
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย