Postpartum hemorrhage คือ ภาวะตกเลือดหลังคลอด เป็นภาวะแทรกซ้อนในคุณแม่หลังคลอดที่พบได้บ่อย คุณแม่จะมีเลือดออกจากช่องคลอดอย่างรุนแรง ซึ่งอาจเกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงไปจนถึง 12 สัปดาห์หลังคลอด โดยอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น วิงเวียนศีรษะ หัวใจเต้นแรง คลื่นไส้ อาเจียน ภาวะตกเลือดหลังคลอดเป็นภาวะที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง เพราะอาจทำให้ความดันโลหิตลดลงอย่างรวดเร็ว เลือดไม่ไหลเวียนไปยังสมองและอวัยวะอื่น ๆ จนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ หากคุณแม่หลังคลอดพบว่าตัวเองมีอาการผิดปกติที่อาจเป็นสัญญาณของ Postpartum hemorrhage ควรรีบพบไปคุณหมอเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมโดยเร็วที่สุด
[embed-health-tool-bmi]
Postpartum hemorrhage คือ อะไร
Postpartum hemorrhage คือภาวะเลือดจากช่องคลอดมากกว่าปกติหลังคลอดบุตร ภาวะนี้พบได้บ่อย ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นหลังจากร่างกายขับรกออกมาแล้วตั้งแต่ 24 ชั่วโมงไปจนถึง 12 สัปดาห์หลังคลอด ภาวะนี้อันตรายเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากการสูญเสียเลือดในปริมาณมากอาจทำให้ความดันโลหิตลดลง เลือดไม่ไหลเวียน และทำให้เกิดอาการช็อก จนอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ คุณแม่หลังคลอดและครอบครัวจึงต้องหมั่นสังเกตอาการ หากมีอาการผิดปกติภายใน 24 ชั่วโมง ควรแจ้งทีมแพทย์ผู้ดูแลให้เร็วที่สุด การรับการรักษาที่เหมาะสมตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยลดปริมาณการสูญเสียเลือดได้
ประเภทของ Postpartum hemorrhage
ประเภทของ Postpartum hemorrhage อาจแบ่งได้ดังนี้
- การตกเลือดหลังคลอดในระยะแรก (Primary postpartum hemorrhage) การตกเลือดภายใน 24 ชั่วโมงแรกหลังคลอด มักเกิดจากมดลูกหดรัดตัวได้ไม่ดี เนื้อเยื่อหรือหลอดเลือดในปากมดลูกหรือในช่องคลอดฉีกขาดจนเลือดออก เลือดแข็งตัวได้ไม่ดีจนเลือดออกไม่หยุด มีชิ้นส่วนของรกติดค้างอยู่ภายในโพรงมดลูก
- การตกเลือดหลังคลอดในระยะหลัง (Secondary or late postpartum hemorrhage) การตกเลือดหลังจาก 24 ชั่วโมงแรกไปจนถึง 12 สัปดาห์หลังคลอด มักเกิดจากการติดเชื้อ หรือมีชิ้นส่วนของรกที่ร่างกายขับออกไม่หมดติดค้างอยู่ในโพรงมดลูก
สาเหตุของ Postpartum hemorrhage คือ อะไร
สาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของ Postpartum hemorrhage คือภาวะมดลูกไม่หดรัดตัว (Uterine atony) โดยปกติแล้ว หลังคลอดบุตร มดลูกมักจะบีบรัดตัวเพื่อขับรกและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ออกมาจนหมด แต่หากการบีบรัดตัวของกล้ามเนื้อมดลูกผิดปกติ หรือที่เรียกว่า ภาวะมดลูกไม่หดรัดตัว อาจทำให้เลือดไม่หยุดไหล จนมีเลือดออกจากช่องคลอดในปริมาณมาก หรือที่เรียกว่า ภาวะตกเลือดหลังคลอด (postpartum hemorrhage) นั่นเอง นอกจากนี้ หากร่างกายไม่สามารถขับชิ้นส่วนของรกออกมาจากมดลูกได้หมดจนทำให้มีเนื้อเยื่อบางส่วนติดค้างอยู่ในช่องคลอด หรือคุณแม่มีภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ (Endometritis) ที่มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ก็สามารถทำให้เกิดภาวะตกเลือดหลังคลอดได้เช่นกัน
สาเหตุอื่น ๆ ของ postpartum hemorrhage อาจมีดังนี้
- ปากมดลูกหรือเนื้อเยื่อของช่องคลอดฉีกขาด
- เส้นเลือดในมดลูกฉีกขาด
- เลือดออกในเนื้อเยื่อหรือบริเวณเนื้อเยื่อกระดูกอุ้งเชิงกราน จนทำให้มีก้อนเลือดคั่ง (Hematoma) มักพบบริเวณปากช่องคลอดหรือช่องคลอด
- การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
อาการของ Postpartum hemorrhage
อาการที่พบในบ่อยในผู้ที่มีภาวะ Postpartum hemorrhage อาจมีดังนี้
- มีภาวะตกเลือดที่ไม่สามารถควบคุมได้
- ความดันโลหิตลดลง
- อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น
- เซลล์เม็ดเลือดแดงลดลง
- ช่องคลอดและบริเวณใกล้เคียงบวม ในกรณีที่มีก้อนเลือดคั่งในเนื้อเยื่อ
- ผิวเย็น ตัวซีดหรือผิวหนังเป็นสีเทา
- วิงเวียนศีรษะ เป็นลม หูอื้อ ตาพร่ามัว คลื่นไส้ อาเจียน จากการสูญเสียเลือด
วิธีรักษา Postpartum hemorrhage
สิ่งสำคัญในการรักษา Postpartum hemorrhage คือการหาสาเหตุที่ทำให้เลือดออกผิดปกติและหยุดเลือดให้ได้เร็วที่สุด จากนั้นจะเป็นการให้เลือดเพื่อทดแทนเลือดและของเหลวที่สูญเสียไปจากการตกเลือด เพื่อป้องกันการเกิดอาการช็อกจากการเสียเลือดมากเกินไป โดยวิธีรักษาอาจมีดังนี้
- การตรวจภายในมดลูก กระดูกอุ้งเชิงกราน ช่องคลอด เพื่อหาบริเวณที่เป็นสาเหตุของการตกเลือด
- การกระตุ้นให้มดลูกบีบรัดตัวด้วยการนวดกระตุ้น หรือการใช้ยา เช่น ออกซิโทซิน (Oxytocin) เมทิลเออร์โกโนวีน (Methylergonovine) หรือพรอสตาแกลนดิน (Prostaglandins) เช่น คาร์โบโพรส (Carboprost) ไมโสพรอสตอล (Misoprostol)
- การนำชิ้นส่วนของรกที่ติดค้างอยู่ภายในมดลูกออกมาให้หมด
- การเพิ่มแรงดันบริเวณที่เลือดออกภายในมดลูกและหยุดเลือดด้วยเครื่องมือต่าง ๆ เช่น สายสวนปัสสาวะ ลูกบอลที่ใช้กดผนังมดลูก (Bakri balloon) ฟองน้ำ วัสดุปลอดเชื้อ
- การผ่าตัดผ่านกล้อง (Laparotomy) เพื่อเปิดช่องท้องและหาสาเหตุที่ทำให้เกิดการตกเลือด และเย็บผูกเส้นเลือดมดลูกเพื่อห้ามเลือด
- การผ่าตัดมดลูกออก ใช้ในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น กรณีที่ให้การรักษาด้วยยาหรือวิธีอื่นแล้วไม่ตอบสนอง