อาการตกเลือด ที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์และหลังคลอด คือ ภาวะที่มีเลือดออกทางช่องคลอด ที่อาจทำให้ร่างกายเสียเลือดมาก และส่งผลให้ความดันโลหิตลดลงอย่างรวดเร็ว นำไปสู่อาการช็อก หมดสติ หรือเสียชีวิต หากสังเกตว่ามีอาการตาพร่า วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ผิวซีด หัวใจเต้นเร็ว ปวดเกร็งท้องน้อย มีเลือดออกทางช่องคลอด ควรเข้าพบคุณหมอทันทีเพื่อสาเหตุที่แน่ชัดและทำการรักษาอย่างเหมาะสม
[embed-health-tool-pregnancy-weight-gain]
อาการตกเลือด เกิดจากอะไร
สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการตกเลือดขณะตั้งครรภ์และหลังคลอด อาจมีดังนี้
อาการตกเลือดขณะตั้งครรภ์
อาจเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ ดังนี้
- ภาวะแท้ง อาจเกิดขึ้นในช่วง 12 สัปดาห์แรกของการตั้งครรภ์ ทำให้เกิดอาการเลือดออกทางช่องคลอด บางรายอาจมีอาการปวดท้องเล็กน้อย
- การฝังตัวของตัวอ่อน อาจเกิดจากตัวอ่อนฝังตัวในมดลูกในช่วงหลังปฏิสนธิเพื่อเตรียมตั้งครรภ์ ทำให้มีเลือดออกหรือที่เรียกว่า เลือดล้างหน้าเด็ก เพื่อให้ทราบผลที่แน่ชัดจึงควรเข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างละเอียด
- รกลอกตัวก่อนกำหนด (Placental abruption) คือภาวะที่รกบางส่วนหรือทั้งหมดหลุดลอกออกก่อนการคลอดซึ่งอาจเกิดจากการกระทบกระเทือนบริเวณท้องอย่างรุนแรง หรืออาจเกิดจากปัญหาสุขภาพ เช่น ความดันโลหิตสูง การได้รับสารพิษจากการสูบบุหรี่ หรือยาเสพติดบางชนิด ทำให้คุณแม่มีอาการตกเลือด
- รกเกาะต่ำ เป็นภาวะที่รกปกคลุมปิดปากมดลูกบางส่วนหรือทั้งหมด ส่งผลให้เกิดอาการตกเลือดในปริมาณมากระหว่างตั้งครรภ์ บางคนอาจหายได้เองเมื่อมดลูกขยายตัวขึ้น เนื่องจากรกมีการขยับขึ้นไปจากปากมดลูก แต่หากได้รับการตรวจอัลตราซาวด์และพบว่ามีรกเกาะต่ำจริง และเกิดอาการตกเลือดจนถึงช่วงการตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 2 หรือ 3 ควรเข้าพบคุณหมอทันที
- การตั้งครรภ์นอกมดลูก เกิดจากไข่ที่ปฏิสนธิแล้วฝังตัวนอกมดลูก ส่วนใหญ่จะพบในท่อนำไข่ ซึ่งเป็นจุดที่ไม่เหมาะสมสำหรับการเจริญเติบโตของทารก ทำให้ทารกไม่สามารถเจริญเติบโตได้ต่อไปและเป็นอันตรายต่อคุณแม่ เนื่องจากถ้าท่อนำไข่แตกมีโอกาสเสียเลือดปริมาณมาก สัญญาณของการตั้งครรภ์นอกมดลูก ได้แก่ อาการตกเลือด ปวดท้องน้อยข้างใดข้างหนึ่งเพียงข้างเดียว รู้สึกปวดท้องเกร็ง
- มดลูกแตก พบได้ในคุณแม่ที่เคยผ่าคลอดมาก่อน หรือเคยมีรอยแผลที่มดลูกจากการผ่าตัด การตั้งครรภ์จะทำให้มดลูกขยายตัวมากขึ้น อาจทำให้เกิดรอยปริที่แผลเดิมได้ ทำให้มีอาการปวดท้องและเลือดออกมาก มีโอกาสเสียชีวิตได้สูง
- การติดเชื้อ การติดเชื้อในบริเวณปากมดลูกและช่องคลอด เช่น โรคหนองในเทียม โรคหนองในแท้ เริม อาจทำให้มีอาการตกเลือดในช่วงการตั้งครรภ์ไตรมาสแรก ก่อนการตั้งครรภ์จึงควรตรวจคัดกรองโรคติดเชื้อต่าง ๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อการตั้งครรภ์
- การมีภาวะครรภ์ไข่ปลาอุก (Molar pregnancy) เป็นภาวะที่พบได้ยาก เกิดจากความผิดปกติของไข่ที่ปฏิสนธิแล้ว แต่ไม่สามารถพัฒนาเป็นทารกที่สมบูรณ์ ส่งผลให้แท้งบุตร และมีอาการตกเลือดในปริมาณมาก อาจเกิดขึ้นได้ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์
อาการตกเลือดหลังคลอด
อาจเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ ดังนี้
- รกหลุดลอกออกจากมดลูกไม่หมด โดยปกติแล้วมดลูกจะหดตัวเพื่อขจัดรกออกมาจากช่องคลอดหลังจากคลอดบุตร แต่หากมีชิ้นเนื้อรกค้างอยู่ในมดลูกจะทำให้มดลูกไม่หดตัว จึงมี เลือดไหลออกจากมดลูกในปริมาณมาก นำไปสู่การตกเลือด
- มดลูกและหลอดเลือดฉีดขาดระหว่างคลอด เนื่องจากทารกอาจมีลำตัวใหญ่หรือคนไข้เบ่งเร็วในการคลอดแบบธรรมชาติ ทำให้เกิดความเสียหาย แผลขนาดใหญ่ หรือเส้นเลือดบาดเจ็บเยอะได้
- การหดรัดตัวที่ไม่ดีของมดลูก ทำให้เกิดการตกเลือดปริมาณมากได้
- มดลูกไม่แข็งตัว ในคนไข้บางราย หลังจากที่คลอดทารกและรกแล้ว มดลูกอาจไม่แข็งตัว ทำให้เลือดออกปริมาณมาก
- การแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ทำให้เลือดไม่หยุดไหล หรือหยุดไหลยากกว่าปกติ
กลุ่มที่เสี่ยงเกิดอาการตกเลือด
ผู้ที่มีความเสี่ยงอาการตกเลือด ได้แก่
- ผู้ที่ตั้งครรภ์ตอนอายุมาก
- การคลอดลูกแบบผ่าคลอด
- ผู้ที่สูบบุหรี่
- ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน หรือโรคอ้วน
- ผู้ที่ตั้งครรภ์ลูกแฝด
- ผู้ที่มีปริมาณน้ำคร่ำมาก
- ผู้ที่เคยมีประวัติตกเลือดในการตั้งครรภ์ครั้งก่อน
สัญญาณเตือนอาการตกเลือด
สัญญาณเตือนอาการตกเลือด มีดังนี้
- มีเลือดออกทางช่องคลอดอาจมีสีแดงสีน้ำตาลหรือสีชมพู
- มีไข้และรู้สึกหนาวสั่น
- วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน
- สายตาพร่ามัว
- ปวดท้องรุนแรง
- หัวใจเต้นเร็ว
หากสังเกตว่ามีอาการเลือดไหลอย่างต่อเนื่อง ควรเข้าพบคุณหมอทันที
วิธีรักษาอาการตกเลือด
วิธีรักษาอาการตกเลือดระหว่างตั้งครรภ์และหลังคลอด มีดังนี้
การรักษาอาการตกเลือดระหว่างตั้งครรภ์
คุณหมออาจรักษาตามสาเหตุที่วินิจฉัย ดังนี้
- รกเกาะต่ำ ไม่มีวิธีรักษาสำหรับรกเกาะต่ำ แต่คุณหมออาจให้ยาควบคุมการตกเลือดและป้องกันการคลอดก่อนกำหนด หรือยาคลายการหดรัดตัวของมดลูก เพื่อยื้อเวลาให้เข้าใกล้วันกำหนดคลอดมากที่สุด อีกทั้งอาจให้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ที่ช่วยพัฒนาปอดทารก เพื่อให้คลอดได้อย่างปลอดภัย
- ติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การรักษาขึ้นอยู่กับโรคที่เป็นโดยส่วนใหญ่คุณหมออาจให้ยาปฏิชีวนะ และยาต้านไวรัส เพื่อลดความเสี่ยงแพร่กระจายไปยังทารก
นอกจากนี้หากคุณหมอประเมินว่าคุณแม่มีภาวะแท้งบุตร หรือมีภาวะทารกเสียชีวิตในครรภ์ ก็อาจจำเป็นต้องขูดมดลูกหรือผ่าคลอดนำทารกออก หรืออาจให้ยายุติการตั้งครรภ์ในกลุ่มพรอสตาแกลนดิน (Prostaglandins) เช่น ไมโสพรอสตอล (Misoprostol) ขึ้นกับอายุครรภ์ของทารกในขณะนั้น
การรักษาอาการตกเลือดหลังคลอด
อาจรักษาได้ด้วยวิธี ดังต่อไปนี้
- การนวดคลึงบริเวณหน้าท้องเพื่อทำให้การหดตัวของมดลูกดีขึ้น
- การขูดหรือล้วงเอารกที่ตกค้างในมดลูกออก
- การใช้บอลลูนสำหรับกดผนังมดลูก(Bakri balloon)เพื่อหยุดการตกเลือด
- การผ่าตัดเพื่อซ่อมแซมหลอดเลือดเย็บแผลที่ฉีกขาดจากการผ่าคลอด
- การให้เลือดใหม่เข้าสู่ร่างกาย เพื่อช่วยทดแทนเลือดที่เสียไป
- การใช้ยากระตุ้นให้เกิดการหดตัวของมดลูก เช่น ไมโสพรอสตอล ออกซิโทซิน (Oxytocin) เมทิลเออร์โกโนวีน (Methylergonovine)
- การผ่าตัดนำมดลูกออก เป็นวิธีการรักษาสุดท้ายที่คุณหมอเลือก เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่รักษาด้วยวิธีอื่น ๆ แล้วไม่ได้ผลและอาการตกเลือดแย่ลง
การป้องกันอาการตกเลือด
การป้องกันอาการตกเลือด อาจทำได้ดังนี้
- เลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพระหว่างตั้งครรภ์และหลังคลอด เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืช เนื้อสัตว์ไร้ไขมัน ผลิตภัณฑ์จากนมไขมันต่ำ และควรรับประทานอาหารเสริมโฟเลต เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดความบกพร่องของท่อประสาทในทารกที่กำลังพัฒนา
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง โซเดียมสูง และน้ำตาลสูง เช่น ของทอด อาหารแปรรูป รวมถึงผลิตภัณฑ์จากนมที่ไม่ผ่านการพาสเจอไรซ์
- หยุดสูบบุหรี่ ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนในระหว่างการตั้งครรภ์
- พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้มาก ๆ
- หลีกเลี่ยงการยกของหนักหรือการออกกำลังกายอย่างหนักเกินไป