ภาวะมีบุตรยาก หรือมีลูกยาก (Infertility) เป็นปัญหาสำคัญในคู่รักที่ต้องการสร้างครอบครัว ซึ่งอาจเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ และหนึ่งในนั้นคือ “โรคอ้วน” เพราะไขมันส่วนเกินมีบทบาทต่อฮอร์โมน การตกไข่ คุณภาพอสุจิ และการทำงานของร่างกายโดยรวม เช่น ภาวะดื้อต่ออินซูลิน การอักเสบ บทความนี้จะมาแนะนำ 8 เคล็ดลับดูแลสุขภาพดี ๆ ที่อาจจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะมีบุตรยากจากโรคอ้วนได้
ภาวะมีบุตรยาก คืออะไร
ภาวะมีบุตรยาก อาจพิจารณาจากเกณฑ์ ดังนี้ต่อไป
- ฝ่ายหญิงอายุน้อยกว่า 35 ปี หากมีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือมีการวางแผนมีเพศสัมพันธ์ในช่วง วันไข่ตก โดยไม่ได้คุมกำเนิด ต่อเนื่อง ครบ 12 เดือน แล้วยังไม่ตั้งครรภ์ ควรเข้ารับการประเมิน
- ฝ่ายหญิงอายุ 35–40 ปี หากมีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยไม่ได้คุมกำเนิด ต่อเนื่อง ครบ 6 เดือน แล้วยังไม่ตั้งครรภ์ ควรเข้ารับการประเมินเร็วขึ้น
- ฝ่ายหญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินภาวะเจริญพันธุ์ตั้งแต่เริ่มวางแผนมีบุตร หรือโดยไม่ต้องรอให้พยายามครบตามระยะเวลา เพราะโอกาสตั้งครรภ์ตามธรรมชาติลดลงตามอายุ และการวางแผนเร็วช่วยเพิ่มทางเลือกในการรักษา
ทำไมโรคอ้วนทำให้ตั้งครรภ์ยากขึ้น
โรคอ้วนทำให้ตั้งครรภ์ยากขึ้นได้เพราะไขมันส่วนเกินไม่ได้เป็นแค่พลังงานสะสม แต่เป็นเนื้อเยื่อที่มีผลต่อฮอร์โมนและการอักเสบของร่างกาย
สำหรับผู้หญิง ไขมันที่มากขึ้นอาจทำให้สมดุลฮอร์โมนเพศเสียไป ส่งผลให้การตกไข่ผิดปกติ รอบเดือนมาไม่ปกติ คุณภาพไข่ลดลง อีกทั้งยังอาจส่งผลให้เกิดภาวะ PCOS (ถุงน้ำรังไข่หลายใบ) ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญของการมีบุตรยาก
สำหรับผู้ชาย ภาวะอ้วนอาจส่งผลให้ฮอร์โมนเพศชาย (testosterone) เสียสมดุล ซึ่งอาจกระทบต่อ การสร้างอสุจิ ทำให้จำนวน/ความแข็งแรงหรือการเคลื่อนไหวของอสุจิลดลงได้ และอาจส่งผลให้เกิดปัญหาเสื่อมสมรรถภาพทางเพศร่วมด้วย
8 วิธีดูแลสุขภาพ ลดความเสี่ยงมีบุตรยากจากโรคอ้วน
1) ตั้งเป้าลดน้ำหนักแบบ “พอดีและยั่งยืน”
อย่าคาดหวังให้น้ำหนักลดฮวบในเวลาสั้น ๆ แต่ให้ตั้งเป้าลดแบบต่อเนื่อง เพราะน้ำหนักที่ลดลงอย่างเหมาะสม มักช่วยให้ผู้ที่มีปัญหาไม่ตกไข่ร่วมกับภาวะอ้วนมีอาการดีขึ้น
2) คุมอาหารเพื่อช่วยคุมอินซูลินและลดการอักเสบ
หลักง่าย ๆ คือ ลดการบริโภคอาหารจำพวกคาร์บเชิงเดี่ยว อย่าง น้ำหวาน ขนมปัง แป้งขัดสี และเพิ่มปริมาณการบริโภค โปรตีนคุณภาพและผักในทุกมื้อ เพื่อช่วยคุมความหิวและน้ำตาลขึ้นลง
3) ออกกำลังกายให้เหมาะสม
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 30 นาที หลายวันต่อ โดยเฉพาะการออกกำลังกายประเภท คาร์ดิโอ + เวท โดยคาร์ดิโอช่วยในเรื่องหัวใจ เมตาบอลิซึม และการเผาผลาญ ส่วนเวทจะช่วยรักษามวลกล้ามเนื้อ ทำให้ลดน้ำหนักได้ยั่งยืนขึ้น
โดยควร เริ่มจากระดับที่ทำได้จริง เช่น เดินเร็ว และเล่นเวทง่าย ๆ ที่บ้าน แล้วค่อยเพิ่มความยาก
4) นอนให้เพียงพอ และนอนให้เป็นเวลา
การนอนน้อยอาจทำให้หิวมากขึ้น อยากของหวานมากขึ้น คุมอาหารยากขึ้น และร่างกายฟื้นตัวแย่ลง ซึ่งอาจส่งผลต่อการลดน้ำหนักและสุขภาพฮอร์โมนทางอ้อม
5) จัดการความเครียดอย่างจริงจัง
ความเครียดเรื้อรังสัมพันธ์กับพฤติกรรมการกิน การนอน และฮอร์โมนความเครียด ซึ่งอาจทำให้การดูแลน้ำหนักยากขึ้น นอกจากนี้ ปัจจัยด้านสุขภาพจิตและความเครียดอาจเป็นส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับภาวะมีบุตรยากได้
6) เลิกบุหรี่ และลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
การสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพของอสุจิและสุขภาพของระบบสืบพันธุ์ได้ อีกทั้งยังอาจทำให้การนอนและการควบคุมอาหารเสียสมดุลได้ง่ายอีกด้วย
7) ตรวจสุขภาพเป็นประจำ
ควรตรวจสุขภาพเป็นประจำเพื่อตรวจเช็กความแข็งแรงและความพร้อมของร่างกาย โดยเฉพาะควรตรวจหาโรคร่วมที่มักมากับโรคอ้วน เช่น น้ำตาลสูง ไขมันสูง ความดัน หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับ เพราะโรคร่วมเหล่านี้ทำให้การลดน้ำหนักยากขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงระหว่างตั้งครรภ์ในอนาคตได้
8) พบผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนก่อนตั้งครรภ์
สำหรับคู่รักที่ต้องการมีลูก อาจเข้าพบคุณหมอเพื่อวางแผนก่อนการตั้งครรภ์ที่เหมาะสม โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีรอบเดือนผิดปกติ หรือมีสัญญาณของ PCOS
หากปฏบัติตามข้อเหล่านี้แล้วยังคงมีปัญหา ควรเข้าพบคุณหมอเพื่อหาทางรักษาที่เหมาะสม หรือคุณกมออาจจะแนะนำเทคโนโลยีที่ช่วยด้านการเจริญพันธุ์ เช่น IUI, IVF, หรือ ICSI
โรคอ้วนเป็นหนึ่งในปัจจัยที่อาจรบกวนฮอร์โมนและการทำงานของระบบสืบพันธุ์ ดังนั้นก่อนเริ่มวางแผนลดน้ำหนักเพื่อเพิ่มโอกาสตั้งครรภ์ แนะนำให้ประเมินภาพรวมของน้ำหนักด้วย ค่า BMI (ดัชนีมวลกาย) เพื่อดูว่าน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ น้ำหนักเกิน หรืออ้วน และใช้เป็นข้อมูลตั้งเป้าหมายการดูแลสุขภาพให้เหมาะกับตัวเองมากขึ้น
คำนวณ BMI ของคุณได้ที่นี่
[embed-health-tool-bmi]
BMI ช่วยอะไรได้บ้าง?
- ช่วยประเมินสถานะน้ำหนักโดยรวมได้อย่างรวดเร็ว ว่าอยู่ในเกณฑ์ผอม ปกติ น้ำหนักเกิน หรืออ้วน
- ช่วยตั้งเป้าหมายการลดน้ำหนักให้ชัดเจนและเป็นไปได้มากขึ้น
- ช่วยติดตามความเปลี่ยนแปลงของน้ำหนัก เมื่อปรับอาหารและออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง
- ช่วยเป็นข้อมูลเบื้องต้นก่อนปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวางแผนดูแลสุขภาพแบบเฉพาะบุคคล
BMI เป็นเพียงการประเมินเบื้องต้น ไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าร่างกายมีมวลกล้ามเนื้อหรือสัดส่วนไขมันเท่าไหร่ หากมีโรคประจำตัว ตั้งครรภ์ หรือมีข้อกังวลด้านสุขภาพ ควรปรึกษาคุณหมอก่อนเริ่มลดไขมันหน้าท้องอย่างจริงจัง
อยากได้แนวทางดูแลสุขภาพเพิ่มเติมเพื่อคุมน้ำหนักอย่างปลอดภัย?
หากคุณมีน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วนร่วมกับรอบเดือนผิดปกติ หรือพยายามมีบุตรแล้วไม่สำเร็จตามระยะเวลาที่แนะนำ การเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์จะช่วยประเมินสาเหตุ วางแผนลดน้ำหนัก และเตรียมความพร้อมก่อนตั้งครรภ์ได้เหมาะกับสุขภาพของทั้งคู่มากขึ้น




















