สำหรับผู้ที่ต้องการมีลูก อาจมีคำถามเกิดขึ้นว่า มีลูกตอนอายุเท่าไหร่ดี อายุของตัวเองน้อยไป หรือมากเกินไปสำหรับการมีลูกหรือไม่ และควรเตรียมตัวอย่างไร โดยปกติแล้ว อายุที่เหมาะสมที่จะมีลูกมักอยู่ในช่วง 20-30 ปี ซึ่งเป็นวัยที่ร่างกายอยู่ในช่วงเจริญพันธุ์มากที่สุด และมีลูกง่ายที่สุด การศึกษาข้อมูลเรื่องช่วงวัยที่เหมาะสมและวิธีการดูแลตัวเอง จะช่วยให้วางแผนมีลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มีลูกตอนอายุเท่าไหร่ดี และอายุมีผลต่อการมีลูกอย่างไรบ้าง
วัยที่เหมาะสมของผู้หญิงที่ต้องการมีลูก คือ อายุประมาณ 20-30 ปี ซึ่งอยู่ในวัยเจริญพันธุ์และสามารถมีลูกได้ง่ายที่สุด มีโอกาสถึง 1 ใน 3 ที่ผู้หญิงจะตั้งครรภ์ได้ในหนึ่งรอบประจำเดือน หรืออาจกล่าวได้ว่าผู้หญิงประมาณ 30 คนจาก 100 คน สามารถตั้งครรภ์ได้สำเร็จใน 1 เดือน และมีโอกาสแท้งลูกน้อยกว่า 15% ภาวะเจริญพันธุ์ของผู้หญิงจะเริ่มถดถอยลงเมื่อมีอายุได้ 35 ปี และจะลดลงเรื่อย ๆ อย่างสม่ำเสมอจนถึงวัยหมดประจำเดือน ในขณะที่โอกาสในการแท้งลูกจะเพิ่มสูงขึ้นตามอายุ เช่น เมื่อตั้งครรภ์ในวัย 40 ปี ความเสี่ยงในการแท้งลูกอาจสูงถึง 40% และส่วนใหญ่ เมื่อถึงอายุ 45 ปี โอกาสในการตั้งครรภ์อาจแทบไม่มีเลย
ความเสี่ยงเมื่อตั้งครรภ์หลังอายุ 35 ปี
หากตั้งครรภ์ตอนอายุมากขึ้น อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดปัญหาสุขภาพ ดังนี้
- โรคความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์
- โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
- การตั้งครรภ์นอกมดลูก
- อาจจะต้องผ่าตัดคลอด
- ปัญหาระหว่างคลอด เช่น เลือดออกมากผิดปกติ
- การคลอดล่าช้าและยาวนาน (อาจนานถึง 20 ชั่วโมง)
- เด็กมีโอกาสเกิดโรคทางพันธุกรรม เช่น ดาวน์ซินโดรม
- ทารกเสียชีวิตในครรภ์
- การแท้งลูก
การเตรียมตัวสำหรับการตั้งครรภ์
ปรึกษาคุณหมอ เมื่อแน่ใจว่าต้องการมีลูกแล้ว ควรปรึกษาคุณหมอเพื่อรับการตรวจสุขภาพก่อนการตั้งครรภ์ ดังนี้
- พูดคุยเรื่องประวัติสุขภาพปัจจุบัน และประวัติสุขภาพของคนในครอบครัว หากพบว่ามีประวัติโรคทางพันธุกรรมที่อาจถ่ายทอดถึงลูกได้ เช่น ดาวน์ซินโดรม โรคลูคิเมีย โรคธาลัสซีเมีย อาจต้องรับคำปรึกษาเพิ่มเติม
- พูดคุยเรื่องการใช้ยาปัจจุบันว่าจะกระทบต่อทารกในอนาคตหรือไม่ และรับคำแนะนำเรื่องการเปลี่ยนยาหากจำเป็น เช่น ยาไอโซเตรทติโนอิน (Isotretinoin) ที่ใช้รักษาสิว ยาแอสไพริน ยาไอบูโพรเฟนที่ไม่ควรใช้ระหว่างตั้งครรภ์
- ตรวจสอบภาวะสุขภาพว่าได้รับการรักษาอยู่หรือไม่ เช่น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคเบาหวาน โรคไทรอยด์ โรคความดันโลหิตสูง หรือโรคเรื้อรังต่าง ๆ เพื่อไม่ให้กระทบต่อการตั้งครรภ์ในอนาคต
- ตรวจเลือดและฉีดวัคซีนที่จำเป็นก่อนตั้งครรภ์ เช่น วัคซีนป้องกันโรคคางทูมและหัดเยอรมัน วัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
- หากมีน้ำหนักเกิน คุณหมออาจะแนะนำให้ลดน้ำหนักก่อน เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์ เช่น ภาวะความดันโลหิตสูงขณะตั้งครรภ์ โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ภาวะแท้งลูก ภาวะทารกเสียชีวิตในครรภ์
ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรออกกำลังกายหนักเกินไป แนะนำให้ออกกำลังเบา ๆ ทั่วไป เช่น การเดินอย่างน้อย 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์
ลดหรือเพิ่มน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพและสมส่วน อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์ได้ เช่น ภาวะความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน การแท้งลูก ภาวะทารกเสียชีวิตในครรภ์ ทารกพิการแต่กำเนิด
กินอาหารที่มีประโยชน์ เน้นการกินผัก ผลไม้ โฮลเกรน โปรตีน และผลิตภัณฑ์จากนม ในปริมาณที่เหมาะสม จำกัดน้ำตาลและไขมัน และควรกินอาหารบำรุงทั้งช่วงก่อนและระหว่างตั้งครรภ์ โดยเน้นเสริมธาตุเหล็ก แคลเซียม และวิตามินดี นอกจากนี้ ควรเพิ่มกรดวิตามินบี 9 (โฟลิคหรือโฟเลต) ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแท้งลูกได้ ปริมาณโฟเลตที่แนะนำอยู่ที่ 400 มิลลิกรัมต่อวัน โดยร่างกายควรได้รับโฟเลตอย่างเพียงพออย่างน้อย 1-3 เดือนก่อนตั้งครรภ์
มีเพศสัมพันธ์สม่ำเสมอ การมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 2-3 ครั้ง ต่อสัปดาห์ หรือทุก 1-2 วัน อาจช่วยเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์ได้ หากไม่สะดวก อาจมีเพศสัมพันธ์วันเว้นวันในช่วงไข่ตก เนื่องจากเป็นระยะเวลาที่อสุจิสามารถมีชีวิตอยู่ในช่องคลอดของฝ่ายหญิงได้ 48-72 ชั่วโมง และเมื่อมีเพศสัมพันธ์แล้วอาจนอนอยู่ท่าเดิมประมาณ 10-15 นาที เพื่อรอให้อสุจิผ่านเข้าไปในปากมดลูกได้
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงระหว่างตั้งครรภ์
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง เพื่อลดความเสี่ยงด้านสุขภาพทั้งต่อแม่และทารกในครรภ์ อาจมีดังนี้
การสูบบุหรี่ สารนิโคตินที่พบในบุหรี่ ส่งผลกระทบต่อจำนวนการตกไข่ของผู้หญิง และจำนวนอสุจิของผู้ชาย และเมื่อตั้งครรภ์แล้วก็อาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะคลอดก่อนกำหนด ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวน้อยกว่าเกณฑ์ หรือทำให้การฟื้นตัวหลังคลอดของคุณแม่ยากขึ้น
การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แม้เพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้เกิดความผิดปกติกับทารกในครรภ์ได้ เช่น ภาวะบกพร่องทางสติปัญญา ความบกพร่องทางพฤติกรรม โรคบกพร่องทางการเรียนรู้
การดื่มในกาแฟที่มีคาเฟอีน ควรงดการบริโภคกาแฟในช่วงที่พยายามตั้งครรภ์ หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรได้รับคาเฟอีนเกิน 200 มิลลิกรัมต่อวัน เนื่องจากคาเฟอีนในกาแฟอาจทำให้ตั้งครรภ์ยากขึ้น ทำให้หลอดเลือดในมดลูกและรกหดตัว ขยับยั้งการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ และทำให้เสี่ยงแท้งมากกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่ม หรืออาจทำให้ทารกมีโรคต่าง ๆ ตามมา เช่น มีภาวะน้ำหนักเกินหลังคลอด และภายหลังอาจจะทำให้เป็นโรคหัวใจ โรคเบาหวาน
[embed-health-tool-ovulation]