ไข้ในเด็ก เป็นสัญญาณเตือนที่อาจบอกได้ว่าร่างกายของเด็กกำลังทำปฏิกิริยาต่อต้านการติดเชื้อจากสิ่งแปลกปลอม ซึ่งอาจส่งผลให้เด็กมีไข้ขึ้นสูงกว่า 38 องศาเซลเซียส โดย วิธีลดไข้ สำหรับเด็ก ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้ คือ เช็ดตัวเพื่อลดอุณหภูมิในร่างกาย และสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ป้องกันการเกิดภาวะชักจากไข้ขึ้นสูง
สาเหตุที่ทำให้เด็กเป็นไข้
สาเหตุที่ทำให้เด็กเป็นไข้ อาจมาจากปัจจัยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- การติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัด อีสุกอีใส หัด กระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบจากเชื้อไวรัส
- การติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น หูอักเสบ ทอนซิลอักเสบ ไข้อีดำอีแดง การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ
- ภาวะการอักเสบ เช่น โรคคาวาซากิ หูอักเสบ ข้ออักเสบรูมาตอยด์
- ผลข้างเคียงหลังจากฉีดวัคซีน หรือรับประทานยาปฏิชีวนะ
เนื่องจากเชื้อไวรัส และแบคทีเรีย รวมถึงสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย อาจทำให้ร่างกายผลิตสารเคมีที่เรียกว่า ไซโตไคน์ (Cytokine) ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีส่วนช่วยตอบสนองต่อการอักเสบ การติดเชื้อ และสร้างแอนติบอดีเพื่อป้องกันการติดเชื้อ จึงส่งผลให้ร่างกายเด็กมีอุณหภูมิสูง หรือเป็นไข้ได้
วิธีลดไข้ สำหรับเด็ก
วิธีลดไข้สำหรับเด็ก ที่คุณพ่อคุณแม่สามารถทำได้ มีดังนี้
- วัดไข้สม่ำเสมอ
- ใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดตัว โดยเฉพาะบริเวณหลังคอ ใต้วงแขน ท้อง และขาหนีบ หรืออาบน้ำด้วยอุณหภูมิห้อง
- เลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย ไม่รัดแน่น
- ให้เด็กดื่มน้ำมากขึ้น เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น น้ำอัดลม
- ให้เด็กพักผ่อนให้เพียงพอ
- เลือกยาลดไข้ให้เหมาะสม เช่น ยาอะเซตามิโนเฟน ยาไอบูโพรเฟน
สิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อเด็กเป็นไข้
สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรทำ เมื่อเด็กเป็นไข้ ได้แก่
- อาบน้ำให้เด็ก หรือเช็ดตัวเด็กด้วยน้ำเย็นจัด
- ไม่ควรให้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปีรับประทานยาแอสไพริน
- ไม่ควรให้เด็กรับประทานยาไอบูโพรเฟนร่วมกับพาราเซตามอล เว้นแต่คุณหมอจะอนุญาต
- ไม่ควรให้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 เดือนรับประทานยาพาราเซตามอล
- ไม่ควรให้ยาไอบูโพรเฟนแก่เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 3 เดือน และมีน้ำหนักต่ำกว่า 5 กิโลกรัม
- สำหรับเด็กที่มีโรคประจำตัวเป็นโรคหอบหืด ไม่ควรให้ยาไอบูโพรเฟน
อาการไข้ในเด็กระดับรุนแรง ที่ควรเข้าพบคุณหมอ
หากไข้ยังไม่ลดลง หรือมีอุณหภูมิร่างกายสูงกว่า 38 องศาเซลเซียสติดต่อกันหลายวัน และมีอาการอื่น ๆ เช่น เจ็บคอ ปวดหู อาเจียน ท้องร่วง ผื่นขึ้น ร่วมด้วย ควรเข้ารับการวินิจฉัยและการรักษาจากคุณหมอทันที เพราะหากปล่อยไว้นานอาจนำไปสู่อาการชักจากไข้สูงที่ส่งผลให้ร่างกายของเด็กขาดออกซิเจน ตัวเขียว ติดเชื้อในเยื่อหุ้มสมอง พัฒนาการด้านการเรียนรู้ล่าช้า และอาจเสี่ยงเป็นโรคลมชักได้
[embed-health-tool-vaccination-tool]