Bronchopulmonary Dysplasia หรือ BPD คือ โรคปอดเรื้อรังในทารกแรกเกิดที่คลอดก่อนกำหนดหรือมีปัญหาการหายใจหลังคลอด และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเพื่อให้ออกซิเจนเป็นเวลานาน โดยอาจพิจารณาว่าเป็นโรค BPD เมื่อทารกต้องใช้เครื่องช่วยหายใจนานกว่า 28 วัน การรักษาสามารถทำได้ด้วยการประคับประคองอาการไปจนกว่าปอดของทารกจะทำงานได้ตามปกติ ส่วนใหญ่ทารกจะมีอาการดีขึ้นแต่อาจมีภาวะสุขภาพในภายหลัง เช่น โรคหอบหืด ปัญหาพัฒนาการล่าช้า ปัญหาการหายใจในวัยเด็กไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ จึงควรป้องกันด้วยการเข้ารับการฝากครรภ์ เพื่อลดความเสี่ยงของการคลอดก่อนกำหนดซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรค BPD ในทารกแรกเกิด
[embed-health-tool-child-growth-chart]
โรค BPD คือ อะไร
Bronchopulmonary Dysplasia หรือ โรค BPD คือโรคปอดเรื้อรังในทารกแรกเกิดที่เกิดจากพัฒนาการของเนื้อเยื่อปอดผิดปกติ มักพบในเด็กที่คลอดก่อนกำหนดเกิน 10 สัปดาห์ หรือในเด็กที่มีน้ำหนักแรกเกิดน้อยกว่า 900 กรัม ซึ่งปอดจะยังพัฒนาไม่เต็มที่และได้รับออกซิเจนเสริมหรือใช้เครื่องช่วยหายใจเป็นเวลานาน เช่น เด็กที่มีกลุ่มอาการหายใจลำบากเฉียบพลัน (Acute Respiratory Distress Syndrome) นอกจากนี้ยังอาจเกิดในทารกที่มีภาวะหลอดเลือดหัวใจเกิน (Patent Ductus Arteriosus หรือ PDA) ทารกที่ติดเชื้อในกระแสเลือด แม้ว่าจะคลอดตามกำหนดก็ตาม
ทั้งนี้ โรค BPD ยังสามารถเกิดขึ้นในทารกที่ผ่านวัยแรกเกิดไปแล้วแต่มีพัฒนาการของปอดผิดปกติ มีการติดเชื้อขณะอยู่ในครรภ์ มีความผิดปกติของรกอย่างภาวะครรภ์เป็นพิษ โรคนี้อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงหลังคลอดที่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลไปอีกระยะหนึ่ง และต้องได้รับการติดตามอาการอย่างใกล้ชิดจากทีมแพทย์ในแผนกบำบัดพิเศษทารกแรกเกิด (NICU)
สาเหตุของโรค BPD คือ อะไร
ในบางครั้งปอดของทารกที่คลอดก่อนกำหนดจะยังพัฒนาไม่เต็มที่ จึงไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และไม่สามารถรับและดูดซับออกซิเจนเพื่อใช้ในการหายใจได้ด้วยตัวเอง ทั้งยังไม่สามารถผลิตสารลดแรงตึงผิว (Surfactant) ซึ่งเป็นของเหลวที่ช่วยไม่ให้ปอดยุบตัวลง ทำให้ต้องรักษาด้วยการให้ออกซิเจนเพื่อให้ทารกหายใจได้ตามปกติ
ทั้งนี้ การรักษาด้วยวิธีดังกล่าวอาจทำให้ทารกแรกเกิดเสี่ยงเกิดภาวะสุขภาพอย่างโรค BPD ตามมาได้ เนื่องจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ อาจทำให้ทางเดินหายใจระคายเคือง เนื้อปอดเสียหายและอักเสบ ทั้งยังทำให้ถุงลมปอดที่ยังเปราะบางอยู่มากเป็นแผล นอกจากนี้ ออกซิเจนในระดับสูงที่ส่งมาจากอุปกรณ์ก็อาจสร้างความเสียหายให้กับเนื้อเยื่อปอดของทารกได้เช่นกัน เมื่อทางเดินหายใจระคายเคืองและมีแผลในปอด ก็จะยิ่งทำให้ทารกหายใจเองได้ยากขึ้นไปอีก และต้องใช้เครื่องช่วยหายใจนานขึ้น จนเกิดเป็นโรค BPD หลังจากใช้เครื่องช่วยหายใจนานกว่า 28 วัน
ในบางกรณีความเสียหายอาจลุกลามไปยังหลอดเลือดที่ลำเลียงออกซิเจนจากถุงลมปอด ซึ่งอาจทำให้หัวใจของทารกทำงานหนักมากขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือด นอกจากนี้ ร่างกายจะให้ความสำคัญกับการหายใจเป็นหลัก จนทำให้ทารกเจริญเติบโตได้ช้าลงและอาจกระทบต่อพัฒนาการของอวัยวะอื่น ๆ ด้วย
อาการของเด็กที่เป็นโรค BPD
อาการของโรค BPD อาจมีดังนี้
- ไอ
- หายใจเร็ว
- หายใจไม่อิ่ม หายใจลำบาก
- สีผิวเขียวคล้ำ (Cyanosis) เนื่องจากมีระดับออกซิเจนต่ำ
วิธีรักษาโรค BPD
ยังไม่มีวิธีรักษาทางการแพทย์ที่สามารถรักษาโรค BPD ให้หายได้โดยทันที การรักษาจะมุ่งเน้นไปที่การให้ยาและออกซิเจนแก่ทารกอย่างเพียงพอ เพื่อให้ปอดของทารกสามารถเติบโตและพัฒนาต่อไปได้ โดยทารกอาจจำเป็นต้องอยู่ที่สถานพยาบาลเป็นเวลาหลายสัปดาห์เพื่อรับการดูแลอย่างเหมาะสม
คุณหมออาจใช้วิธีสอดท่อช่วยหายใจไปในคอเพื่อให้ออกซิเจน ในกรณีที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเป็นเวลานาน อาจต้องเจาะคอเพื่อใส่ท่อช่วยหายใจเข้าไปในหลอดลมโดยตรง แต่กรณีนี้เกิดขึ้นน้อยมาก ทารกบางรายอาจต้องสวมหน้ากากเพื่อให้หายใจรับอากาศที่อุ่นและมีความชุ่มชื้นเข้าสู่ปอดได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ คุณหมออาจรักษาโรค BPD ด้วยยาต่อไปนี้
- ยาขับปัสสาวะ (Diuretics Drugs) เพื่อลดการสะสมของของเหลวในถุงลมปอด
- ยาขยายหลอดลม (Bronchodilators) เช่น อัลบูเทอรอล (Albuterol) เพื่อคลายกล้ามเนื้อบริเวณทางเดินหายใจ ทำให้หายใจได้สะดวกขึ้น
- คอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) เพื่อลดอาการบวมและป้องกันการอักเสบภายในปอด
ในบางกรณี ทารกอาจได้รับยาต้านไวรัสเพื่อป้องกันการติดเชื้ออย่างเชื้อไข้หวัด เชื้อที่ทำให้เกิดโรคปอดบวม และเชื้อไวรัส RSV หรือได้รับยาขยายหลอดเลือดเพื่อให้สามารถลำเลียงออกซิเจนจากปอดไปสู่ส่วนอื่น ๆ ของร่างกายได้ตามปกติ โดยทั่วไป ทารกจะมีอาการดีขึ้นภายใน 2-4 เดือนหลังจากวินิจฉัยและรับการรักษา เมื่อการทำงานของปอดดีขึ้นก็สามารถถอดเครื่องช่วยหายใจและหยุดใช้ยาได้
การป้องกัน BPD ทำได้อย่างไร
วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรค BPD คือ การฝากครรภ์ทันทีที่ทราบว่าตั้งครรภ์ เพื่อให้คุณหมอตรวจหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ และวางแผนการดูแลครรภ์ได้อย่างเหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงการคลอดก่อนกำหนด ซึ่งจะลดความเสี่ยงในการเกิดโรคปอดเรื้อรังที่อาจทำให้เด็กมีปัญหาสุขภาพระยะยาวในภายหลัง ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการขณะเป็นโรค BPD เช่น โรคหอบหืด ภาวะหายใจมีเสียงหวีดเรื้อรัง (Chronic wheezing) โรคติดเชื้อทางเดินหายใจอย่างไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่ โรคกรดไหลย้อน ภาวะเจริญเติบโตช้ากว่าเด็กในวัยเดียวกัน ภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแอกว่าปกติ และในกรณีที่พบได้ไม่บ่อย อาจทำให้มีปัญหาทางระบบประสาท เช่น การมองเห็น การได้ยิน พัฒนาการด้านการพูด ความบกพร่องทางการเรียนรู้
เมื่อไหร่ควรไปพบคุณหมอ
หากทารกมีอาการต่อไปนี้ ควรพาไปพบคุณหมอเพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม
- หายใจเร็วกว่าปกติ
- หายใจลำบาก
- ทารกหายใจมีเสียงหวีด
- ทารกหอบหรือหายใจเสียงดัง
- เซื่องซึม
- ไอมากกว่าปกติ
- สีผิวรอบปากหรือนิ้วมือซีด คล้ำ หรือเป็นสีเขียว สีฟ้า
- มีปัญหาในการกินอาหาร แหวะนมหรืออาเจียนขณะป้อนอาหาร