เนื่องจากเส้นผมและผิวบริเวณศีรษะของเด็กมีความบอบบางจึงควรเลือก แชมพูเด็ก ที่มีส่วนประกอบที่มาจากธรรมชาติ ไม่ก่อให้เกิดความระคายเคือง ให้ความชุ่มชื้น และเป็นสารอาหารผิวที่ดี นอกจากนี้ ยังควรหลีกเลี่ยงแชมพูเด็กที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่ช่วยลดแรงตึงผิว เพราะทำให้เกิดความระคายเคืองต่อผิวและดวงตาของเด็กได้
[embed-health-tool-vaccination-tool]
เด็กควรสระผมบ่อยแค่ไหน
ไม่ควรสระผสมให้เด็กทุกวันหลังอาบน้ำ แต่ควรสระผมเพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพราะผมของเด็กอาจไม่สกปรกมากเท่ากับผมผู้ใหญ่ และการสระผมบ่อยเกินไปอาจกำจัดน้ำมันตามธรรมชาติบนผิวหนังออกทำให้หนังศีรษะแห้ง หรืออาจทำให้หนังศีรษะมันมากเนื่องจากต่อมน้ำมันเร่งการผลิตน้ำมันมากขึ้นเพื่อทดแทนน้ำมันที่สูญเสียไป ซึ่งอาจส่งผลให้เด็กเสี่ยงมีปัญหารังแคในอนาคตได้
นอกจากนี้ คุณพ่อคุณแม่หลายคนอาจเลือกใช้สบู่ในการสระผมเด็กเนื่องจากสะดวกสบายกว่า แต่การใช้แชมพูเด็กอาจมีข้อดีกว่าสบู่ ดังนี้
- สบู่เด็กอาจผลิตมาจากสารธรรมชาติ ปราศจากสารเติมแต่งที่ช่วยให้ผมอ่อนนุ่ม ซึ่งอาจทำให้ผมกระด้างและหวียาก การเปลี่ยนมาใช้แชมพูเด็กที่ประกอบไปด้วยสารลดแรงตึงผิว อาจช่วยให้ผมของเด็กนุ่มสลวยและไม่ชี้ฟู
- แม้สบู่เด็กจะผลิตมาจากสารธรรมชาติสูตรอ่อนโยน แต่ยังอาจทำให้ตาของเด็กเกิดความระคายเคืองได้ ดังนั้น การเลือกใช้แชมพูเด็กที่มีส่วนประกอบที่อ่อนโยนกว่าจึงอาจช่วยป้องกันความระคายเคืองตาได้มากกว่า ทั้งยังมีฟองน้อยกว่า และมีกลิ่มหอม
- แชมพูมักมีค่าความเป็นกรดด่างที่อ่อนกว่าสบู่ และอาจมีความใกล้เคียงกับกรดบนผิวหนังของเด็กมากกว่า จึงอาจช่วยลดความแห้งตึงของผิวหนัง และยังอาจช่วยบำรุงผิวบริเวณหนังศีรษะได้ดีอีกด้วย
แชมพูเด็ก ควรเลือกอย่างไร
ผิวบริเวณหนังศีรษะและเส้นผมของเด็กยังมีความอ่อนโยนมาก จึงควรเลือกแชมพูที่มีส่วนประกอบแบบออร์แกนิก (Organic) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติและปราศจากสารเคมีลดแรงตึงผิว เช่น โซเดียม ลอริล ซัลเฟต (Sodium Lauryl Sulfate หรือ SLS) ที่อาจทำให้เกิดความระคายเคืองตา โดยควรเลือกแชมพูเด็กที่อุดมไปด้วยโปรตีนนมและวิตามินอีที่ช่วยให้ความชุ่มชื้นกับผิวและเส้นผม เช่น
- น้ำข้าว
- ว่านหางจระเข้
- น้ำมันมะพร้าว
- น้ำมันอะโวคาโด
- มะละกอ
- สารสกัดจากแอปเปิ้ลเขียว
- ชาเขียว
- สาหร่ายทะเล
นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงแชมพูเด็กที่มีสารสร้างฟองและเติมแต่งกลิ่นหอม รวมทั้งสารเคมีบางชนิดเพื่อป้องกันความระคายเคืองต่อผิวเด็ก เช่น
- กลุ่มซัลเฟต เช่น โซเดียม ลอริล ซัลเฟต แอมโมเนียมลอริลซัลเฟต (Ammonium Lauryl Sulfate หรือ ALS) โซเดียมสเตียริลซัลเฟต (Sodium Stearyl Sulfate) โซเดียมลอริลซัลโฟอะซีเตต (Sodium Lauryl Sulfoacetate) โซเดียมโคโคซัลเฟต (Sodium Coco Sulfate)
- กลุ่มพาราเบน (Paraben) เช่น เมทิลพาราเบน (Methylparaben) เอทิลพาราเบน (Ethylparaben) โพรพิลพาราเบน (Propylparaben) บิวทิลพาราเบน โพลิเอทิลีน (Polyethylene)
- โพลิเอธิลีนไกลคอล (Polyethylene Glycol)
- โพลิออกซีเอทิลีน (Polyoxyethylene)
- บิวทิลพาราเบน (Butylparaben)
- พาทาเลท (Phthalate)
- ออกซินอล (Oxynol)
- ฟอร์มาลดีไฮด์ (Formaldehyde)
ข้อควรระวังในการใช้ แชมพูเด็ก
แชมพูเด็กถึงแม้ว่าจะผลิตมาเป็นสูตรอ่อนโยนต่อสภาพผิวของเด็ก แต่ยังอาจมีข้อควรระวังบางประการ ดังนี้
- หากเด็กมีปัญหาสุขภาพผิว เช่น โรคผื่นผิวหนังอักเสบ ผิวหนังลอกเป็นขุย ผดผื่น แผลพุพอง ซึ่งส่งผลให้สุขภาพผิวอ่อนแอ บอบบางและแพ้ง่าย จนไม่สามารถทนต่อสารเคมีในแชมพูบางชนิดได้ จึงควรปรึกษาคุณหมอก่อนใช้แชมพูเด็กทุกชนิด
- ไม่ควรสระผมให้เด็กมากเกินไปหรือใช้แชมพูเด็กบ่อย ๆ เพราะอาจทำให้เด็กใช้เวลาแช่น้ำนานมากขึ้น ซึ่งอาจเสี่ยงติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้ โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง
- อ่านฉลากก่อนซื้อแชมพูเด็กทุกครั้ง หลีกเลี่ยงแชมพูเด็กที่มีสารอันตรายตามที่กล่าวมาข้างต้น และระหว่างการสระผมควรป้องกันไม่ให้แชมพูไหลเข้าตาเด็ก เพราะอาจก่อให้เกิดความระคายเคืองได้