ข้อบ่งใช้
กรดเอธาครีนิก ใช้สำหรับ
กรดเอธาครีนิก (Ethacrynic Acid) เป็นยาขับน้ำหรือยาขับปัสสาวะ (diuretic) ทำงานที่ไตโดยการเพิ่มปริมาณการผลิตปัสสาวะ ช่วยให้ร่างกายกำจัดน้ำส่วนเกินออกไปได้ ยานี้ใช้เพื่อลดอาการบวมน้ำ (edema) ที่เกิดจากสภาวะต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง หัวใจล้มเหลว โรคตับ และโรคไต ส่งผลให้ไตสามารถทำงานได้ดีขึ้น และลดอาการต่างๆ เช่น อาการหายใจติดขัด อาการบวมที่ข้อเท้า เท้า มือ หรือท้อง
*ไม่ควรใช้ยานี้กับเด็กทารก
วิธีการใช้ กรดเอธาครีนิก
- ใช้ยาตามที่แพทย์กำหนด โดยปกติคือวันละ 1 หรือ 2 ครั้งหลังมื้ออาหาร ควรรับประทานยานี้อย่างน้อย 4 ชั่วโมง ก่อนเวลานอน หากคุณใช้ยานี้ใกล้กับเวลานอน คุณอาจจำเป็นต้องตื่นขึ้นมาปัสสาวะกลางดึก หากคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับตารางการใช้ยา โปรดปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
- ขนาดยาขึ้นอยู่กับสภาวะทางการแพทย์ และการตอบสนองต่อการรักษา เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง แพทย์อาจแนะนำให้เริ่มใช้ยาในขนาดต่ำๆ ก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ เพิ่มขนาดยา โดยแพทย์จะปรับขนาดยาตามสภาวะทางการแพทย์ การตอบสนองต่อการรักษา และผลการทดสอบในห้องทดลอง (เช่น ระดับของโซเดียม โพแทสเซียม และคลอไรด์) บางคนอาจต้องใช้ยาวันเว้นวัน หรือใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น และควรทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
- หากแพทย์สั่งให้คุณใช้ยานี้เป็นประจำ ควรใช้ยาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ประโยชน์จากยาสุงสุด เพื่อให้จำง่าย ควรรับประทานยาในเวลาเดียวกันทุกวัน
- หากอาการของคุณยังไม่ดีขึ้น หรือมีอาการแย่ลง ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบทันที
การเก็บรักษา กรดเอธาครีนิก
กรดเอธาครีนิกควรเก็บที่อุณหภูมิห้อง ให้พ้นจากแสงและความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเสื่อมสภาพ ไม่ควรเก็บยานี้ในห้องน้ำหรือช่องแช่แข็ง กรดเอธาครีนิกบางยี่ห้อมีวิธีเก็บรักษาที่แตกต่างออกไป จึงควรอ่านคำแนะนำบนฉลากยาหรือสอบถามเภสัชกรเสมอ เสมอ และโปรดเก็บยาให้พ้นจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยงเพื่อความปลอดภัย
ไม่ควรทิ้งกรดเอธาครีนิกลงในชักโครก หรือเทยาลงในท่อระบายน้ำ เว้นเสียแต่จะได้รับคำแนะนำให้ทำเช่นนั้น หากยาหมดอายุ หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้ยา ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูกต้อง โดยสามารถสอบถามวิธีกำจัดยาที่ถูกต้องเพิ่มเติมได้จากเภสัชกร
ข้อควรระวังและคำเตือน
ข้อควรรู้ก่อนใช้ กรดเอธาครีนิก
- ก่อนใช้ยานี้ ควรแจ้งประวัติทางการแพทย์ของคุณให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบ โดยเฉพาะโรคเกาต์ โรคไต โรคตับ
- ยานี้อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนได้ ฉะนั้นในช่วงที่ใช้ยานี้ คุณไม่ควรประกอบกิจกรรมที่ต้องตื่นตัวอยู่เสมอ เช่น ขับรถ ใช้เครื่องจักร ควรกลับไปทำกิจกรรมดังกล่าว ต่อเมื่อแน่ใจว่าคุณจะสามารถทำได้อย่างปลอดภัย และควรจำกัดปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย
- ยานี้สามารถลดระดับของเกลือหรือแร่ธาตุภายในเลือดได้ เช่น โซเดียม โพแทสเซียม แพทย์อาจสั่งให้คุณรับประทานเกลือ อาหารที่อุดมไปด้วยโพแทสเซียม เช่น กล้วย น้ำส้มคั้น มากขึ้น หรือรับประทานอาหารเสริมโพแทสเซียม สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดสอบถามแพทย์หรือเภสัชกร
- ยานี้อาจส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดได้ หากคุณเป็นโรคเบาหวาน ควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือดตามที่แพทย์สั่งเป็นประจำ และแจ้งผลให้แพทย์ทราบ แพทย์อาจจำเป็นต้องปรับขนาดยาเพื่อให้เหมาะสมกับโรคเบาหวาน โปรแกรมการออกกำลังกาย หรืออาหารที่คุณรับประทาน
- ก่อนการผ่าตัด ควรแจ้งให้แพทย์หรือทันตแพทย์ทราบด้วยว่า คุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็น ยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่หาซื้อเอง สมุนไพร เป็นต้น
- ผู้สูงอายุอาจมีปฏิกิริยาไวต่อผลข้างเคียงของยานี้มากกว่า โดยเฉพาะอาการวิงเวียน การสูญเสียน้ำและแร่ธาตุ
- ในช่วงตั้งครรภ์ควรใช้ยานี้เมื่อจำเป็นเท่านั้น โปรดปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับความเสี่ยงและประโยชน์ของการใช้ยา
- สำหรับสตรีที่ให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา เนื่องจากยังไม่ทราบแน่ชัดว่ายานี้สามารถส่งผ่านน้ำนมแม่ได้หรือไม่
ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ยังไม่มีงานวิจัยเกี่ยวกับความปลอดภัยของการใช้ยานี้ขณะตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรที่เพียงพอ หากคุณกำลังตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตรโปรดปรึกษากับแพทย์ก่อนเสมอ เพื่อประเมินประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยา
กรดเอธาครีนิกจัดอยู่ในประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์ หมวด B โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)
การจัดประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อผู้ตั้งครรภ์โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกามีดังนี้
- A= ไม่มีความเสี่ยง
- B= ไม่พบความเสี่ยงในการวิจัยบางชิ้น
- C= อาจจะมีความเสี่ยง
- D= มีหลักฐานแสดงถึงความเสี่ยง
- X= ห้ามใช้
- N= ไม่ทราบแน่ชัด
ผลข้างเคียง
ผลข้างเคียงของการใช้ กรดเอธาครีนิก
- อาจเกิดอาการวิงเวียน เวียนศีรษะ อ่อนแรง ตะคริว ท้องไส้ปั่นป่วน หรือท้องร่วง หากอาการเหล่านี้ไม่หายไปหรือรุนแรงขึ้น โปรดแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทันที
- เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอาการวิงเวียนและเวียนศีรษะ ควรลุกจากท่านั่งหรือท่านอนช้าๆ
- โปรดจำไว้ว่า การที่แพทย์ให้คุณใช้ยาตัวนี้ เนื่องจากคำนวณแล้วว่ายามีประโยชน์มากกว่าเป็นโทษ และคนที่ใช้ยานี้ส่วนใหญ่ไม่พบผลข้างเคียงที่ร้ายแรงใดๆ
- ยานี้เป็นยาขับปัสสาวะที่รุนแรง และสามารถทำให้เกิดการสูญเสียน้ำ (ภาวะขาดน้ำ) และเกลือหรือแร่ธาตุภายในร่างกายเป็นปริมาณมาก ขณะใช้ยาจึงควรคอยสังเกตอาการของภาวะขาดน้ำอยู่เสมอ เช่น รู้สึกสับสน ปัสสาวะลดลงผิดปกติ ปากแห้งหรือกระหายน้ำผิดปกติ หัวใจเต้นเร็วหรือเต้นผิดปกติ วิงเวียนหรือเวียนศีรษะ
หากเกิดผลข้างเคียงรุนแรงต่อไปนี้ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันที
- มีรอยช้ำหรือเลือดออกง่าย รู้สึกบ้านหมุน (vertigo)
- การได้ยินเปลี่ยนแปลง เช่น มีเสียงอื้อหรือรู้สึกแน่นในหู การได้ยินลดลง หูหนวก
- อุจจาระเป็นสีดำคล้ายยางมะตอย
- ปวดท้อง
- อาเจียนคล้ายกากกาแฟ
- มีสัญญาณของโรคตับ เช่น คลื่นไส้อาเจียนไม่หยุด เบื่ออาหาร ผิวหนังหรือดวงตาเป็นสีเหลือง ปัสสาวะสีเข้ม
การแพ้ยาที่รุนแรงนี้ค่อนข้างเกิดขึ้นได้ยาก แต่จำเป็นต้องได้รับการรักษาที่ทันท่วงที อาการของการแพ้รุนแรง ได้แก่ มีผดผื่น คันหรือบวม (โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า ลิ้น และลำคอ) เวียนหัวขั้นรุนแรง หายใจติดขัด
ไม่ใช่ทุกคนจะเจอกับผลข้างเคียงเหล่านี้ และอาจจะมีอาการอย่างอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าคุณมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร
ปฏิกิริยาของยา
ปฏิกิริยากับยาอื่น
- ยาที่อาจมีปฏิกิริยากับยานี้ได้แก่ ฟูโรซีไมด์ (furosemide) ลิเทียม (lithium)
- ยาบางชนิดอาจจะมีส่วนประกอบที่สามารถเพิ่มระดับความดันโลหิต หรือทำให้อาการบวมรุนแรงขึ้น คุณควรแจ้งให้แพทย์และเภสัชกรทราบว่ากำลังใช้ยาใดอยู่บ้าง และสอบถามวิธีการใช้ยาอย่างปลอดภัย โดยเฉพาะยาแก้ไอแก้หวัด ยาลดความอ้วน หรือยาบรรเทาอาการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID) เช่น ไอบูโพรเฟน (ibuprofen) หรือนาพรอกเซน (naproxen)
- กรดเอธาครีนิกอาจทำปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ และอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงรุนแรง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อความปลอดภัย คุณควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรด้วยว่า คุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง สมุนไพร เป็นต้น และเพื่อความปลอดภัย คุณไม่ควรเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยาเองโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์
ปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์
กรดเอธาครีนิกอาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
ปฏิกิริยากับอาการโรคอื่น
กรดเอธาครีนิกอาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาเสมอ
ขนาดยา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
ขนาดกรดเอธาครีนิกสำหรับผู้ใหญ่
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาอาการน้ำคั่งในช่องท้อง (Ascites)
รับประทาน
- 50 ถึง 200 มก. ต่อวันโดยแบ่งใช้ 1-2 ครั้ง เมื่อได้รับผลการขับปัสสาวะ อาจจำเป็นต้องปรับขนาดยาเพิ่มขึ้นอีก 25 ถึง 50 มก. ไปจนได้ขนาดยาต่ำสุดที่ยังคงประสิทธิภาพในการรักษา และให้ยาอย่างต่อเนื่องหรือเป็นช่วงๆ
- ขนาดยาสำหรับเป็นยาเสริม: เมื่อเพิ่มยานี้ในสูตรยาปัสสาวะที่มีอยู่ ขนาดยาเริ่มต้นและการเปลี่ยนขนาดยาควรเพิ่มขึ้น 25 มก.
คำแนะนำ
- อาจจำเป็นต้องใช้ยาในขนาดขนาดยาเริ่มต้นและขนาดยาปกติที่สูงถึง 200 มก. วันละ 2 ครั้ง ส่วนใหญ่แล้วจะใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการบวมน้ำขั้นรุนแรงและดื้อยา
- ขนาดยาและความถี่ในการใช้อาจสามารถลดลงได้เมื่อได้รับน้ำหนักแห้ง (dry weight) ที่ต้องการ
- ขนาดยาสำหรับให้ยาเป็นช่วงๆ นั้นอาจมีทั้งการให้ยาวันเว้นวันหรือให้ยาเป็นระยะยาวโดยมีช่วงพักไม่ใช้ยา
การใช้งาน เพื่อจัดการอาการบวมน้ำ เมื่อจำเป็นต้องใช้ยาที่มีโอกาสในการขับปัสสาวะได้มากกว่าปกติในระยะสั้น เพื่อจัดการกับอาการบวมน้ำ ที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (congenital heart disease) โรคตับแข็ง หรือโรคไต รวมทั้งกลุ่มอาการเนฟโฟรติค (nephrotic syndrome) หรือการจัดการอาการท้องมานในระยะสั้น เนื่องจากก้อนเนื้อร้าย อาการบวมน้ำไม่ทราบสาเหตุ หรือภาวะบวมน้ำเหลือง (Lymphedema)
การฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ
- 50 มก. (หรือ 0.5 ถึง 1 มก./กก.) ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำหนึ่งครั้ง ในบางครั้งอาจจำเป็นต้องให้ยาครั้งที่สองฉีดเข้าที่บริเวณฉีดยาแห่งใหม่
- คำแนะนำ: เคยมีการใช้ยาในขนาดยาไม่เกิน 100 มก. สำหรับฉีดหนึ่งครั้ง สำหรับสถานการณ์ที่สำคัญ
- การใช้งาน: เมื่อต้องการฤทธิ์ของยาขับปัสสาวะอย่างเร่งด่วน เช่นอาการบวมน้ำที่ปอดอย่างเฉียบพลัน (acute pulmonary edema) หรือการดูดซึมของระบบทางทางเดินอาหารนั้นบกพร่องหรือไม่สามารถใช้ยาแบบรับประทานได้
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาอาการบวมน้ำ (Edema)
รับประทาน
- 50 ถึง 200 มก. ต่อวันโดยแบ่งใช้ 1-2 ครั้ง เมื่อได้รับผลการขับปัสสาวะ อาจจำเป็นต้องปรับขนาดยาเพิ่มขึ้นอีก 25 ถึง 50 มก. ไปจนได้ขนาดยาต่ำสุดที่ยังคงประสิทธิภาพในการรักษา และให้ยาอย่างต่อเนื่องหรือเป็นช่วงๆ
- ขนาดยาสำหรับเป็นยาเสริม: เมื่อเพิ่มยานี้ในสูตรยาปัสสาวะที่มีอยู่ ขนาดยาเริ่มต้นและการเปลี่ยนขนาดยาควรเพิ่มขึ้น 25 มก.
คำแนะนำ
- อาจจำเป็นต้องใช้ยาในขนาดขนาดยาเริ่มต้น และขนาดยาปกติที่สูงกว่า 200 มก. วันละ 2 ครั้ง ส่วนใหญ่แล้วจะใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการบวมน้ำขั้นรุนแรงและดื้อยา
- ขนาดยาและความถี่ในการใช้อาจสามารถลดลงได้เมื่อได้รับน้ำหนักแห้ง (dry weight) ที่ต้องการ
- ขนาดยาสำหรับให้ยาเป็นช่วงๆ นั้นอาจมีทั้งการให้ยาวันเว้นวันหรือให้ยาเป็นระยะยาวโดยมีช่วงพักไม่ใช้ยา
การใช้งาน เพื่อจัดการอาการบวมน้ำ เมื่อจำเป็นต้องใช้ยาที่มีโอกาสในการขับปัสสาวะได้มากกว่าปกติในระยะสั้น เพื่อจัดการกับอาการบวมน้ำที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (congenital heart disease) โรคตับแข็ง หรือโรคไต รวมทั้งกลุ่มอาการเนฟโฟรติค (nephrotic syndrome) หรือการจัดการอาการน้ำคั่งในท้องในระยะสั้น เนื่องจากก้อนเนื้อร้าย อาการบวมน้ำไม่ทราบสาเหตุ หรือภาวะบวมน้ำเหลือง (Lymphedema)
การฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ
- 50 มก. (หรือ 0.5 ถึง 1 มก./กก.) ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำหนึ่งครั้ง ในบางครั้งอาจจำเป็นต้องให้ยาครั้งที่สอง ฉีดเข้าที่บริเวณฉีดยาแห่งใหม่
- คำแนะนำ: เคยมีการใช้ยาในขนาดยาไม่เกิน 100 มก. สำหรับฉีดหนึ่งครั้ง สำหรับสถานการณ์สำคัญ
- การใช้งาน: เมื่อต้องการฤทธิ์ของยาขับปัสสาวะอย่างเร่งด่วน เช่น อาการบวมน้ำที่ปอดอย่างเฉียบพลัน (acute pulmonary edema) หรือการดูดซึมของระบบทางทางเดินอาหารนั้นบกพร่องหรือไม่ สามารถใช้ยาแบบรับประทานได้
การปรับขนาดยาไต
- ข้อห้ามใช้สำหรับผู้ป่วยภาวะปัสสาวะไม่ออก (anuria)
- หากเกิดความไม่สมดุลของอิเล็กโทรไลท์ (electrolyte imbalance) ภาวะอะโซทีเมีย (azotemia) ภาวะปัสสาวะน้อย (Oliguria) หนักขึ้นหรือรุนแรงขึ้น ขณะรักษาโรคไต ควรหยุดใช้ยานี้
การปรับขนาดยาสำหรับตับ
- ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง
การปรับขนาดยา
- ขนาดยาสำหรับรับประทานสามารถเพิ่มขึ้นได้ 25 ถึง 50 มก./วัน.
- ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะตอบสนองต่อขนาดยา 50 ถึง 100 มก./วัน.
- สามารถให้ยาทางหลอดเลือดดำครั้งที่สองได้ภายใน 6 ถึง 8 ชั่วโมง
คำแนะนำอื่นๆ
- คำแนะนำการให้ยาทางหลอดเลือดดำ: ควรให้ยาอย่างช้าๆ ผ่านทางสายหลอดยาหรือฉีดเข้าหลอดเลือดดำโดยตรง เป็นเวลานานหลายนาที อย่าฉีดยาให้ผิวหนังหรือเข้ากล้ามเนื้อ
- เทคนิคการคืนรูปยาหรือการเตรียมยาสำหรับฉีดทางหลอดเลือดดำ: การคืนรูปยาแบบแห้ง ผสมสารละลายน้ำเกลือ 50 มก. หรือสารละลายเดกซ์โทรส (dextrose) 5% เข้าในขวดยา ไม่แนะนำสารละลายเดกซ์โทรส 5% ที่มีค่าพีเอช (pH) ต่ำกว่า 5
- การผสมยาสำหรับฉีดเข้าทางหลอดเลือด (IV compatibility): อย่าผสมยานี้ในรูปแบบสารละลายเข้ากับเลือดรวม (whole blood) หรืออนุพันธ์ของเลือด
การเฝ้าระวัง
กระบวนการเผาผลาญ: ควรทำการตรวจระดับเซรั่มอิเล็กโทรไลท์ (Serum electrolytes) คาร์บอนไดออกไซด์ และตรวจปริมาณไนโตรเจนในกระแสเลือด (BUN) บ่อยครั้งในช่วงช่วงของการรักษาและเป็นระยะๆ หลังจากนั้น ควรมีการวัดน้ำหนักผู้ป่วยก่อนและขณะการรักษาด้วยยานี้
ขนาดกรดเอธาครีนิกสำหรับเด็ก
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาอาการบวมน้ำ (Edema)
อายุน้อยกว่า 1 ปี: ห้ามใช้
1 ปีขึ้นไป
- ขนาดยาเริ่มต้น: รับประทาน 25 มก.
- ขนาดยาปกติ:อาจปรับขนาดยาเพิ่ม 25 มก.
- การใช้งาน: เพื่อจัดการอาการบวมน้ำ เมื่อจำเป็นต้องใช้ยาที่มีโอกาสในการขับปัสสาวะได้มากกว่าปกติในระยะสั้น เพื่อจัดการกับอาการบวมน้ำที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (congenital heart disease) หรือกลุ่มอาการเนฟโฟรติค (nephrotic syndrome) สำหรับผู้ป่วยที่พักรักษาตัวภายในโรงพยาบาล
ข้อควรระวัง
- ยังไม่มีการพิสูจน์ความปลอดภัย และประสิทธิภาพของการใช้ยาแบบรับประทาน และยาสำหรับฉีดในเด็กทารก
- ยังไม่มีการพิสูจน์ความปลอดภัย และประสิทธิภาพของยาสำหรับฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ในผู้ป่วยที่อายุน้อยกว่า 18 ปี
รูปแบบของยา
ความแรงและรูปแบบของยามีดังนี้
- ยาเม็ดสำหรับรับประทาน
- ยาผงสำหรับฉีดเข้าหลอดเลือด
กรณีฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด
หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉิน หรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที
กรณีลืมใช้ยา
หากคุณลืมใช้ยาควรรีบใช้ทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติได้เลย ไม่ควรเพิ่มปริมาณยา
[embed-health-tool-bmi]