ข้อบ่งใช้
ลิวโพรไลด์ ใช้สำหรับ
ลิวโพรไลด์ (Leuprolide) ใช้เพื่อรักษาโรคมะเร็งต่อมลูกหมากระดับรุนแรงในผู้ชาย ยานี้ไม่สามารถรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้ โรคมะเร็งต่อมลูกหมากส่วนใหญ่นั้นต้องการฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรน (testosterone) เพื่อการเจริญเติบโตและลุกลาม ยาลิวโพรไลด์นั้นทำงานโดยการลดปริมาณของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนที่ร่างกายผลิตขึ้น ช่วยให้ชะลอหรือหยุดยั้งการเจิรญเติบโตของเซลล์มะเร็งและช่วยบรรเทาอาการ เช่น อาการปวดขณะปัสสาวะ หรือปัสสาวะติดขัด โปรดปรึกษาแพทย์ถึงความเสี่ยงและประโยชน์ของการรักษา
ยา ลิวโพรไลด์ ยังใช้เพื่อหยุดยั้งภาวะเข้าสู่วัยหนุ่มสาวก่อนวัยอันควรในเด็ก (precocious puberty) ยานี้ช่วยชะลอพัฒนาการทางเพศ (เช่น การเจริญเติบโตของหน้าอกหรืออัณฑะ) และชะลอการเริ่มมีประจำเดือน ยานี้ยังช่วยชะลอการหยุดการเจริญเติบโตของกระดูกก่อนเวลาอันควร เพื่อเพิ่มโอกาสในการมีระดับความสูงของวัยผู้ใหญ่ตามปกติ ยาลิวโพรไลด์นั้นทำงานโดยการลดปริมาณของฮอร์โมนเพศที่ร่างกายของเด็กผลิตขึ้นมา เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจนในเด็กผู้หญิง และฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในเด็กผู้ชาย
วิธีการใช้ยา ลิวโพรไลด์
ฉีดยานี้เข้าใต้ผิวหนังตามที่แพทย์กำหนด โดยปกติคือวันละครั้ง
สำหรับเด็กนั้น ขนาดยาจะขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวและการตอบสนองต่อการรักษา แพทย์ควรพิจารณาหยุดใช้ยาก่อนอายุ 11 ปีสำหรับเด็กผู้หญิง และก่อนอายุ 12 ปีสำหรับเด็กผู้ชาย โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
หากคุณใช้ยานี้เองที่บ้าน ควรเรียนรู้วิธีการเตรียมตัวและแนวทางการใช้ยาจากผู้เชี่ยวชาญการดูแลสุขภาพและจากบรรจุภัณฑ์ของยา เรียนรู้วิธีการเก็บรักษาและการกำจัดอุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างปลอดภัย
ก่อนใช้ยานี้ควรตรวจสอบยา หากยามีฝุ่นละอองหรือยาเปลี่ยนสี ก็ไม่ควรใช้ยานั้น ก่อนการฉีดยาทุกครั้ง ควรทำความสะอาดบริเวณที่จะฉีดยาด้วยการเช็ดแอลกอฮอล์ ควรเปลี่ยนบริเวณที่ฉีดยาทุกครั้งเพื่อลดการบาดเจ็บใต้ผิวหนัง
ใช้ยานี้เป็นประจำ เพื่อให้ได้ประโยชน์จากยาสูงสุด เพื่อให้ง่ายต่อการจำ ควรใช้ยาในเวลาเดียวกันทุกวัน
ในช่วงไม่มีสัปดาห์ของการรักษา ระดับฮอร์โมนของคุณจะเพิ่มสูงขึ้นก่อนแล้วจึงค่อยลดลง อาการนี้เป็นการตอบสนองตามปกติของยานี้ อาการของคุณอาจจะรุนแรงขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์นั้น
หากคุณเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากที่ลุกลามไปยังกระดูกสันหลัง หรือทำให้เกิดการอุดตันของทางเดินปัสสาวะ คุณอาจจำเป็นต้องได้รับการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ โดยเฉพาะเมื่อเริ่มการรักษา แจ้งให้แพทย์ทราบในทันที หากคุณมีอาการปวดกระดูก เป็นเหน็บชา หรืออ่อนแรงที่แขนหรือขา มีเลือดปนในปัสสาวะ รู้สึกปวดขณะปัสสาวะหรือปัสสาวะติดขัด หรือไม่สามารถเคลื่อนไหวได้
หากคุณใช้ยานี้เพื่อหยุดยั้งภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัยอันควร คุณอาจจะสังเกตเห็นอาการที่รุนแรงขึ้น (เช่น มีประจำเดือน) ในช่วงเริ่มการรักษา แต่ตามปกติอาการของคุณควรจะดีขึ้นภายใน 1 ถึง 2 เดือน แจ้งให้แพทย์ทราบในทันที หากเกิดอาการใหม่ หรืออาการของคุณแย่ลงหลังจากเริ่มต้นการรักษา
การเก็บรักษายาลิวโพรไลด์
เก็บไว้ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 77° ฟาเรนไฮต์ (25° เซลเซียส) ห้ามแช่แข็งยา อย่าเก็บยาไว้ใกล้กับเครื่องนำความร้อนหรือสถานที่อุ่นอื่นๆ เก็บให้พ้นจากแสงและเก็บขวดยาไว้ในกล่องจนกว่าจะใช้งาน
ส่วนใหญ่แล้วจะฉีดยาลิวโพรไลด์ที่โรงพยาบาลหรือสถานที่ปฏิบัติงานของแพทย์ หากจะเก็บยานี้เองที่บ้าน ควรทำตามวิธีการเก็บรักษายาตามที่แพทย์กำหนด
ข้อควรระวังและคำเตือน
ข้อควรรู้ก่อนใช้ยาลิวโพรไลด์
ก่อนใช้ยาลิวโพรไลด์ แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบ หากคุณแพ้ต่อยานี้ หรือหากคุณเป็นโรคภูมิแพ้อื่นๆ ยานี้อาจมีส่วนผสมที่ไม่มีฤทธิ์ในการรักษา เช่น เบนซิลแอลกอฮอล์ (benzyl alcohol) ซึ่งทำให้เกิดอาการแพ้หรือปัญหาอื่น โปรดปรึกษาเภสัชกรสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
ก่อนใช้ยานี้ แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ของคุณ โดยเฉพาะโรคเบาหวาน โรคหัวใจ (เช่น หัวใจขาดเลือดฉับพลัน) โรคหลอดเลือดสมอง คอเลสเตอรอลสูง มีปัญหาทางจิตใจหรืออารมณ์ (เช่น โรคซึมเศร้า) อาการชัก
สำหรับผู้ใหญ่ ยาลิวโพรไลด์นั้นอาจทำให้กระดูกของคุณอ่อนแอลง และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน หากใช้ยานี้เป็นเวลานาน ก่อนใช้ยานี้โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบ หากคุณเป็นโรคกระดูกพรุน หรือหากคุณมีปัจจัยเสี่ยงในการเป็นโรคกระดูกพรุนดังต่อไปนี้ ได้แก่ ดื่มสุรามาเป็นเวลานาน สูบบุหรี่ ประวัติคนในครอบครัวเลยเป็นโรคกระดูกพรุนและกระดูกหัก ใช้ยาบางชนิด เช่น ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ (corticosteroids) อย่างเพรดนิโซน (prednisone) ยาต้านชักบางชนิด อย่างเฟนิโทอิน (phenytoin)
สำหรับผู้ใหญ่ ยาลิวโพรไลด์อาจทำให้เกิดสภาวะที่ส่งผลกระทบต่อการเต้นของหัวใจ อย่างภาวะ QT prolongation ในนานๆ ครั้งภาวะนี้อาจทำให้เกิดอาการหัวใจเต้นเร็วหรือผิดปกติที่รุนแรง (อาจถึงแก่ชีวิต) และอาการอื่นๆ (เช่น วิงเวียนอย่างรุนแรงหรือหมดสติ) และจำเป็นต้องรับการรักษาในทันที
ความเสี่ยงในการเกิด QT prolongation นั้นอาจเพิ่มขึ้น หากคุณมีสภาวะหรือใช้ยาที่อาจทำให้เกิดอาการนี้ได้ ก่อนใช้ยาลิวโพรไลด์ แจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบเกี่ยวกับยาทั้งหมดที่คุณใช้ และหากคุณมีสภาวะดังต่อไปนี้ ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจบางอย่าง เช่น หัวใจล้มเหลว หัวใจเต้นช้า ภาวะ QT prolongation ในการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ คนในครอบครัวเคยมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจบางอย่าง เช่น QT prolongation ในการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ หรือหัวใจตายฉับพลัน
ระดับของโพแทสเซียมหรือแมกนีเซียมในเลือดต่ำ ยังอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิด QT prolongation ได้อีกด้วย ความเสี่ยงนี้จะเพิ่มขึ้นหากคุณกำลังใช้ยาบางอย่าง (เช่น ยาขับปัสสาวะ/ยาขับน้ำ) หรือหากคุณมีสภาวะเช่น เหงื่อออกมาก ท้องร่วง หรืออาเจียน ปรึกษากับแพทย์ถึงวิธีการใช้ยาลิวโพรไลด์อย่างปลอดภัย
ยานี้อาจทำให้เกิดอาการวิงเวียนได้ อย่าขับรถ ใช้เครื่องจักร หรือทำกิจกรรมที่ต้องการความตื่นตัว จนกว่าคุณจะสามารถทำได้อย่างปลอดภัย และควรจำกัดปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ก่อนการผ่าตัด แจ้งให้แพทย์หรือทันตแพทย์ทราบเกี่ยวกับยาทั้งหมดที่คุณใช้ (ทั้งยาตามใบสั่งยา ยาที่หาซื้อเอง และสมุนไพรต่างๆ)
ผู้สูงอายุอาจมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงของยานี้ได้มากกว่า โดยเฉพาะภาวะ QT prolongation (อ่านเพิ่มเติมด้านบน)
ห้ามใช้ยานี้ขณะตั้งครรภ์ เนื่องจากอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ จำเป็นต้องป้องกันการตั้งครรภ์ระหว่างที่กำลังใช้ยานี้ โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมและปรึกษาเกี่ยวกับวิธีการคุมกำเนิดแบบไม่ใช้ฮอร์โมนที่น่าเชื่อถือ เช่น ถุงยางอนามัย หรือแผ่นยางอนามัยที่มียาฆ่าเชื้ออสุจิ ขณะที่กำลังใช้ยานี้ หากคุณตั้งครรภ์หรือคาดว่าอาจจะตั้งครรภ์ โปรดแจ้งให้แพทย์ทราบในทันที
ยังไม่ทราบแน่ชัดว่ายาลิวโพรไลด์นั้น สามารถผ่านเข้าสู่น้ำนมแม่ได้หรือไม่ เนื่องจากโอกาสในการเกิดความเสี่ยงต่อทารก จึงไม่แนะนำการให้นมบุตรขณะใช้ยานี้ โปรดปรึกษาแพทย์ก่อนให้นมบุตร
ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับความเสี่ยงในสตรีที่ใช้ยานี้ ในช่วงการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาถึงประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยานี้
ยาลิวโพรไลด์จัดอยู่ในประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อสตรีมีครรภ์ ประเภท X โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)
การจัดประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อสตรีมีครรภ์โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกามีดังนี้
- A= ไม่มีความเสี่ยง
- B= ไม่พบความเสี่ยงในการวิจัยบางชิ้น
- C= อาจจะมีความเสี่ยง
- D= มีหลักฐานแสดงถึงความเสี่ยง
- X= ห้ามใช้
- N= ไม่ทราบแน่ชัด
ผลข้างเคียง
ผลข้างเคียงของการใช้ยาลิวโพรไลด์
อาจเกิดอาการแสบร้อน ปวด หรือรอยช้ำในบริเวณที่ฉีดยา อาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออกเพิ่มขึ้น มีเหงื่อในตอนกลางคืน เหนื่อยช้า ปวดหัว ท้องไส้ปั่นป่วน หน้าอกมีการเปลี่ยนแปลง สิว ปวดข้อหรือกล้ามเนื้อ มีปัญหากับการนอนหลับ ความสนใจทางเพศลดลง รู้สึกไม่สบายที่ช่องคลอดหรือช่องคลอดแห้ง มีเลือดออกจากช่องคลอด มีอาการบวมที่ข้อเท้าหรือเท้า ปัสสาวะเพิ่มขึ้นในตอนกลางคืน หรือวิงเวียน หากอาการเหล่านี้ไม่หายไป หรือรุนแรงขึ้น โปรดแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรในทันที
ในนานๆ ครั้งผู้ชายอาจเกิดอาการอัณฑะหดตัว มีอาการกดเจ็บหรือบวมที่เต้านม และความสนใจหรือสมรรถภาพทางเพศลดลงอันเป็นผลมาจากระดับของฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนลดลง โปรดปรึกษาแพทย์หากเกิดผลข้างเคียงเหล่านี้
สำหรับผู้หญิง หากใช้ยานี้เป็นประจำนั้นควรจะมีอาการประจำเดือนหยุดหรือประจำเดือนลดลง กลายเป็นอาการเลือดออกเบาๆ หรือเลือดออกกะปริดกะปรอยในช่วง 2 เดือนแรก แจ้งให้แพทย์ทราบในทันที หากยังคงมีประจำเดือนตามปกติหลังจากใช้ยาลิวโพรไลด์ผ่านไปแล้ว 2 เดือน
โปรดจำไว้ว่า การที่แพทย์ให้คุณใช้ยาตัวนี้ เนื่องจากพิจารณาแล้วว่า ยามีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยง และคนที่ใช้ยานี้ส่วนใหญ่ไม่พบผลข้างเคียงที่ร้ายแรงใดๆ
แจ้งให้แพทย์ทราบในทันที หากเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงดังต่อไปนี้ ได้แก่ มีอาการปวดกระดูกครั้งใหม่หรือรุนแรงขึ้น (ในผู้ใหญ่) กระหายน้ำเพิ่มขึ้นหรือปัสสาวะเพิ่มขึ้น (ในผู้ใหญ่) มีความเปลี่ยนแปลงทางจิตใจหรืออารมณ์ (เช่น โรคซึมเศร้า มีความคิดที่จะฆ่าตัวตาย อารมณ์แปรปรวน ก้าวร้าว)
สำหรับผู้ใหญ่ ในนานๆ ครั้งยานี้อาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง รับการรักษาในทันที หากคุณมีอาการที่รุนแรงมากดังต่อไปนี้ อาการของโรคหัวใจขาดเลือดฉับพลัน (เช่น มีอาการปวดที่หน้าอก กราม หรือแขนข้างซ้าย หายใจไม่อิ่ม มีเหงื่อออกผิดปกติ) สัญญาณของโรคหลอดเลือดสมอง (เช่น อ่อนแรงที่ด้านหนึ่งของร่างกาย พูดลำบาก การมองเห็นเปลี่ยนแปลงฉับพลัน สับสน) หัวใจเต้นเร็วหรือผิดปกติ วิงเวียนอย่างรุนแรง หมดสติ
รับการรักษาในทันทีหากมีผลข้างเคียงที่รุนแรงมากดังต่อไปนี้ ได้แก่ อาการชัก
ในนานๆ ครั้ง อาจเกิดปัญหาที่รุนแรงมากต่อต่อมใต้สมอง อย่างภาวะต่อมใต้สมองตกเลือด (pituitary apoplexy) มักจะเกิดในช่วงชั่วโมงแรกจนถึง 2 สัปดาห์หลังจากฉีดยาครั้งแรก รับการรักษาในทันทีหากเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงมากดังต่อไปนี้ ได้แก่ ปวดหัวอย่างรุนแรงฉับพลัน มีความเปลี่ยนแปลงทางจิตใจหรืออารมณ์ฉับพลัน (เช่น สับสนอย่างรุนแรง รวบรวมสมาธิได้ลำบาก) การมองเห็นเปลี่ยนแปลง อาเจียนอย่างรุนแรง หมดสติ
การแพ้ยาที่รุนแรงต่อยานี้ ค่อนข้างเกิดขึ้นได้ยาก แต่จำเป็นต้องได้รับการรักษาที่ทันท่วงที อาการของการแพ้รุนแรงมีดังนี้ ผดผื่น คันหรือบวม (โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า ลิ้น และลำคอ) วิงเวียนขั้นรุนแรง หายใจติดขัด
ไม่ใช่ทุกคนจะเจอกับผลข้างเคียงเหล่านี้ และอาจจะมีอาการอย่างอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น ถ้าคุณมีข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกร
ปฏิกิริยาของยา
ปฏิกิริยากับยาอื่น
ยานี้อาจส่งผลกระทบต่อผลการตรวจในห้องแล็บบางชนิด และอาจทำให้เกิดผลเป็นเท็จได้ ควรแจ้งให้บุคลากรในห้องแล็บและแพทย์ของคุณทุกคนทราบว่าคุณกำลังใช้ยานี้
ยาลิวโพรไลด์อาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่คุณกำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น คุณควรจะบอกแพทย์หรือเภสัชกรของคุณว่า คุณกำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง (ทั้งยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง และสมุนไพรต่างๆ) เพื่อความปลอดภัย โปรดอย่าเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยาใดๆ โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์
ปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์
ยาลิวโพรไลด์อาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
ปฏิกิริยากับอาการโรคอื่น
- ยาลิวโพรไลด์อาจส่งผลให้อาการโรคของคุณแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคของคุณก่อนใช้ยาเสมอ
ขนาดยา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง เพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
ขนาดยาลิวโพรไลด์สำหรับผู้ใหญ่
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
- 1 มก. ฉีดยาใต้ผิวหนังวันละครั้ง หรือ
- 7.5 มก. ฉีดยาออกฤทธิ์นานเข้ากล้ามเนื้อหรือใต้ผิวหนังเดือนละครั้ง
- 22.5 มก. ฉีดยาออกฤทธิ์นานเข้ากล้ามเนื้อ หนึ่งครั้งทุกๆ 3 เดือน หรือ
- 30 มก. ฉีดยาออกฤทธิ์นานเข้ากล้ามเนื้อ หนึ่งครั้งทุกๆ 4 เดือน หรือ
- 45 มก. ฉีดยาใต้ผิวหนังทุกๆ 6 เดือน หรือ
- 65 มก. ฝังยาใต้ผิวหนัง หนึ่งครั้งทุกๆ 12 เดือน
การใช้งาน: เพื่อเป็นการรักษาแบบประคับประคองสำหรับโรคมะเร็งต่อมลูกหมากระดับรุนแรง
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
- 3.75 มก. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อเดือนละครั้งเป็นเวลาสูงสุด 6 เดือน หรือ 11.25 มก. ฉีดยาออกฤทธิ์นานทุกๆ 3 เดือน
คำแนะนำ
- สำหรับผู้หญิงที่ใช้ยาลิวโพรไลด์เพื่อรักษาภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ แนะนำให้ใช้การบำบัดทดแทนฮอร์โมน เพื่อลดการสูญเสียความหนาแน่นของกระดูก และกลุ่มอาการเวโซมอเตอร์ (vasomotor symptoms) ควรพิจารณาความเสี่ยงและประโยชน์ของการรักษาแต่ละอย่าง
การใช้งาน
- เพื่อจัดการภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (รวมถึงการบรรเทาอาการปวดและลดแผลที่เยื่อบุโพรงมดลูก) การเพิ่มขึ้นของระดับความเข้มข้นของเลือดก่อนการผ่าตัด ในผู้ป่วยที่มีภาวะโลหิตจางนั้นจะทำให้เกิดเนื้องอกมดลูก (uterine leiomyomata)
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาเนื้องอกมดลูก
- 3.75 มก. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อเดือนละครั้งเป็นเวลาสูงสุด 6 เดือน หรือ 11.25 มก. ฉีดยาออกฤทธิ์นานทุกๆ 3 เดือน
คำแนะนำ
- สำหรับผู้หญิงที่ใช้ยาลิวโพรไลด์เพื่อรักษาภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ แนะนำให้ใช้การบำบัดทดแทนฮอร์โมนเพื่อลดการสูญเสียความหนาแน่นของกระดูกและกลุ่มอาการเวโซมอเตอร์ (vasomotor symptoms) ควรพิจารณาความเสี่ยงและประโยชน์ของการรักษาแต่ละอย่าง
การใช้งาน
- เพื่อจัดการภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (รวมถึงการบรรเทาอาการปวดและลดแผลที่เยื่อบุโพรงมดลูก) การเพิ่มขึ้นของระดับความเข้มข้นของเลือดก่อนการผ่าตัด (preoperative hematologic improvement) ในผู้ป่วยที่มีภาวะโลหิตจางนั้นจะทำให้เกิดเนื้องอกมดลูก (uterine leiomyomata)
คำแนะนำอื่นๆ
คำแนะนำการใช้
- ควรเปลี่ยนบริเวณที่ฉีดยาเป็นระยะๆ
- ควรหลีกเลี่ยงบริเวณเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรงหรือมีเส้นใยมาก หรืออยู่ในบริเวณที่สามารถถูหรือกดได้ (เช่น บริเวณที่สวมเข็มขัดหรือสายรัดเอว)
การเก็บรักษา
- ควรศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิต
เทคนิคการคืนรูปและการเตรียมการ
- ควรศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์จากผู้ผลิต
การเฝ้าระวัง
- การเผาผลาญ: ควรตรวจระดับน้ำตาลกลูในเลือด และ/หรือระดับน้ำตาลสะสมในเลือด (glycosylated hemoglobin) เป็นระยะๆ
คำแนะนำสำหรับผู้ป่วย
- ยานี้สามารถส่งผลกระทบต่อความสามารถในการขับรถและการใช้เครื่องจักรได้
ขนาดยาลิวโพรไลด์สำหรับเด็ก
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อรักษาภาวะเข้าสู่วัยหนุ่มสาวก่อนวัยอันควร (Precocious Puberty)
ยาฉีดออกฤทธิ์นาน
- น้ำหนักตัวน้อยกว่าหรือเท่ากับ 25 กก. ขนาด 7.5 มก. ฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อเดือนละครั้ง
- น้ำหนักตัวมากกว่า 25 กก. ถึง 37.5 กก. ขนาด11.25 มก. ฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อเดือนละครั้ง
- น้ำหนักตัวมากกว่า 37.5 กก. ขนาด15 มก. ฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อเดือนละครั้ง
คำแนะนำ
- ควรตรวจระดับฮอร์โมนหลังจากรักษาไป 1 ถึง 2 เดือน และทุกครั้งที่เปลี่ยนขนาดยา เพื่อให้แน่ใจว่ามีการกดฮอร์โมนโกนาโดโทรปินของต่อมใต้สมอง (pituitary gonadotropin) อย่างเพียงพอ
- เมื่อได้รับขนาดยาที่ทำให้เกิดการกดฮอร์โมนอย่างเพียงพอ ก็มักจะใช้ยาในขนาดนั้นไปตลอดระยะเวลาการรักษาสำหรับเด็กส่วนใหญ่ แต่ควรตรวจสอบระดับการกดฮอร์โมนเมื่อมีน้ำหนักขึ้นอย่างมากขณะที่กำลังรับการรักษา
ยาสำหรับฉีดใต้ผิวหนัง
- ขนาดยาเริ่มต้น: 50 ไมโครกรัม/กก./วัน ฉีดใต้ผิวหนัง หากจำนวนและการทำงานของตัวรับฮอร์โมนโดยรวมนั้นยังไม่ลดลง ควรปรับขนาดยาเพิ่มขึ้นไป10 ไมโครกรัม/กก./วัน ควรพิจารณาขนาดยานั้นเป็นขนาดยาปกติ
คำแนะนำ
- ควรปรับขนาดยาเมื่อน้ำหนักตัวเปลี่ยน
- ควรพิจารณาหยุดการรักษาก่อนอายุ 11 ปีสำหรับเด็กผู้หญิง และ 12 ปีสำหรับเด็กผู้ชาย
การใช้งาน
- เพื่อรักษาภาวะเข้าสู่วัยหนุ่มสาวก่อนวัยอันควรจากฮอร์โมนของต่อมใต้สมอง (central precocious puberty) ในเด็ก
การปรับขนาดยา
- ผู้ป่วยเด็ก: หากยังไม่ได้รับการกดฮอร์โมนและการกดทางการแพทย์ที่เพียงพอจากการใช้ยาขนาดเริ่มต้น ควรเพิ่มขนาดยาไปยังขนาดยาที่สูงกว่าถัดไป (เช่น 11.25 มก. หรือ 15 มก. ในการฉีดยาเดือนถัดไป)
ข้อควรระวัง
- ยังไม่มีการพิสูจน์ความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการใช้ยาในผู้ป่วยเด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ปี
รูปแบบของยา
ความแรงและรูปแบบของยามีดังนี้
- ยาผงเตรียมสำหรับฉีดใต้ผิวหนัง ออกฤทธิ์นาน
- ยาสำหรับฝังใต้ผิวหนัง
- ชุดยาสำหรับฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
- ยาผงเตรียมสำหรับฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ออกฤทธิ์นาน
- ยาสารละลายสำหรับฉีดใต้ผิวหนัง
- ชุดยาสำหรับฉีดใต้ผิวหนัง
- ยาผงเตรียมสำหรับฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
กรณีฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด
หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉิน หรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที
กรณีลืมใช้ยา
หากคุณลืมใช้ยาควรรีบใช้ในทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติได้เลย ไม่ควรเพิ่มปริมาณยา
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำทางการแพทย์ การวินิจฉัยโรคหรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
[embed-health-tool-bmi]