เมดรอกซีโปรเจสเตอโรน (Medroxyprogesterone) คือ ฮอร์โมนเพศหญิงประเภทหนึ่งหรือโพรเจสติน (progestin) ยานี้คล้ายคลึงกับโพรเจสเทอโรน (progesterone) ที่ร่างกายสร้างขึ้นได้เองตามธรรมชาติ และใช้เพื่อทดแทนฮอร์โมนหากร่างกายผลิตได้ไม่เพียงพอ
[embed-health-tool-ovulation]
ข้อบ่งใช้
ยา เมดรอกซีโปรเจสเตอโรน ใช้สำหรับ
ยา เมดรอกซีโปรเจสเตอโรน (Medroxyprogesterone) คือ ฮอร์โมนเพศหญิงประเภทหนึ่งหรือโพรเจสติน (progestin) ยานี้คล้ายคลึงกับโพรเจสเทอโรน (progesterone) ที่ร่างกายสร้างขึ้นได้เองตามธรรมชาติ และใช้เพื่อทดแทนฮอร์โมนหากร่างกายผลิตได้ไม่เพียงพอ
ยานี้สามารถใช้งานได้หลากหลาย สำหรับผู้หญิงที่ไม่ได้ตั้งครรภ์ และไม่ได้เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ยานี้จะช่วยรักษาอาการมีเลือดออกผิดปกติทางมดลูก และเพื่อฟื้นฟูรอบเดือนให้กลับมาเป็นปกติ สำหรับผู้หญิงที่มีอาการขาดประจำเดือน (Amenorrhea)
ยา เมดรอกซีโปรเจสเตอโรน ยังเป็นส่วนหนึ่งของการบำบัดด้วยการใช้ฮอร์โมนผสม คู่กับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) เพื่อลดอาการของหญิงวัยหมดประจำเดือน เช่น ร้อนวูบวาบ ยาเมดรอกซีโปรเจสเตอโรนจะถูกเพิ่มเข้าไปในการบำบัดทดแทนฮอร์โมนเอสโตรเจน เพื่อลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งมดลูก
ไม่ควรใช้ยานี้เพื่อทดสอบการตั้งครรภ์
วิธีการใช้ยา เมดรอกซีโปรเจสเตอโรน
รับประทานยานี้ตามที่แพทย์สั่ง ตามตารางการใช้ยาอย่างเคร่งครัด สอบถามแพทย์หากมีข้อสงสัยอะไร ขนาดยานั้นขึ้นอยู่กับอาการและการตอบสนองต่อการรักษา
สำหรับการใช้ในการบำบัดด้วยการใช้ฮอร์โมนผสมคู่กับเอสโตรเจน โดยทั่วไปจะรับประทานยานี้วันละครั้ง ตามจำนวนวันที่กำหนดในแต่ละเดือน
สำหรับการรักษาอาการขาดประจำเดือน และเลือดออกจากมดลูกที่ผิดปกติ โดยปกติจะรับประทานยานี้วันละครั้ง เป็นเวลา 5-10 วัน ในช่วงครึ่งหลังของรอบการมีประจำเดือนตามปกติ การมีเลือดออกภายหลังการหยุดยามักจะเกิดขึ้นหลังจาก 3-7 วันหลังจากหยุดใช้ยา
แจ้งให้แพทย์ทราบ หากอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง
การเก็บรักษายา เมดรอกซีโปรเจสเตอโรน
ยาเมดรอกซีโปรเจสเตอโรนควรเก็บที่อุณหภูมิห้อง หลีกเลี่ยงแสงหรือความชื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวยาเกิดความเสียหาย ไม่ควรเก็บยานี้ในห้องน้ำหรือช่องแช่แข็ง ยา เมดรอกซีโปรเจสเตอโรน บางยี่ห้ออาจจะต้องเก็บรักษาแตกต่างกัน จึงควรตรวจสอบฉลากยาหรือสอบถามเภสัชกรเสมอ เพื่อความปลอดภัยโปรดเก็บยาให้ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง
ไม่ควรทิ้งยาเมดรอกซีโปรเจสเตอโรนลงในชักโครก หรือในท่อระบายน้ำ เว้นแต่จะได้รับคำแนะนำเช่นนั้น ควรกำจัดยาด้วยวิธีที่ถูกต้องเมื่อยาหมดอายุ หรือไม่มีความจำเป็นต้องใช้งาน โปรดสอบถามเภสัชกรเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการกำจัดยาที่ถูกต้อง
ข้อควรระวังและคำเตือน
ข้อควรรู้ก่อนใช้ยา เมดรอกซีโปรเจสเตอโรน
ก่อนใช้ยา เมดรอกซีโปรเจสเตอโรน แจ้งให้แพทย์ทราบหากแพ้ยานี้ หรือมีอาการแพ้อื่นๆ ยานี้บางยี่ห้อในแคนาดาอาจมีส่วนประกอบผสมที่ไม่ได้มีฤทธิ์ในการรักษา เช่น ถั่วเหลือง สามารถทำให้เกิดอาการแพ้หรือปัญหาอื่นได้ บางคนที่แพ้ถั่วลิสงก็อาจจะแพ้ถั่วเหลืองด้วยเช่นกัน สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
ไม่ควรใช้ยานี้หากมีสภาวะโรคบางอย่าง ก่อนใช้ยานี้ควรปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรหากมีประวัติสุขภาพดังนี้คือ เคยเกิดลิ่มเลือด มีเลือดออกในสมอง โรคตับ มะเร็งเต้านม หรือที่อวัยวะอื่นๆ ของผู้หญิง มีเลือดออกจากช่องคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุ แท้งบุตร มีโรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคหัวใจขาดเลือดฉับพลัน (ภายใน 1 ปี)
ก่อนใช้ยานี้ ควรแจ้งประวัติทางการแพทย์ให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประวัติทางการแพทย์ของคนในครอบครัว โดยเฉพาะการตรวจพบก้อนเนื้อผิดปกติในเต้านมและมะเร็ง
- โรคไต
- โรคอ้วน
- โรคหัวใจ เช่น เคยมีอาการหัวใจขาดเลือดฉับพลัน โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหัวใจวาย
- ความดันโลหิตสูง
- ชัก
- ปวดหัวไมเกรน
- หอบหืด
- ระดับคอเลสเตอรอล/ไขมันในเลือดสูง
- โรคซึมเศร้า
- เบาหวาน
- โรคหลอดเลือดสมอง
ยานี้อาจทำให้รู้สึกมึนงงหรือง่วงซึม หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และกัญชา เพราะจะยิ่งทำให้มึนงง และง่วงซึมรุนแรงยิ่งขึ้น ห้ามขับรถ ใช้เครื่องจักร หรือทำกิจกรรมที่ต้องการความตื่นตัว จนกว่าจะสามารถทำได้อย่างปลอดภัย จำกัดปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ปรึกษากับแพทย์หากกำลังใช้กัญชาเพื่อรักษาโรค
แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนรับการผ่าตัด หรือต้องนั่งเก้าอี้/เตียงเป็นเวลานาน เช่น ขึ้นเที่ยวบินที่ยาวนาน อาจจำเป็นต้องหยุดใช้ยานี้สักพัก หรือใช้ด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นลิ่มเลือด สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดสอบถามแพทย์
ห้ามสูบบุหรี่ เพราะหากบุหรี่ที่ผสมกับยาตัวนี้จะทำให้มีความเสี่ยงมากขึ้น ในการเป็นโรคหลอดเลือดสมอง เกิดลิ่มเลือด ความดันโลหิตสูง และหัวใจขาดเลือดฉับพลัน
ยาตัวนี้อาจทำให้เป็นบริเวณใบหน้าและผิวเป็นด่างดวงสีเข้มหรือฝ้า แสงแดดอาจจะยิ่งทำให้อาการนี้เป็นหนักขึ้น ควรจำกัดเวลาการเผชิญกับแสงแดด หลีกเลี่ยงการอาบแดด ใช้ครีมกันแดดและสวมเสื้อผ้าป้องกันเวลาอยู่นอกบ้าน
ห้ามใช้ยานี้ขณะตั้งครรภ์ เนื่องจากสามารถทำอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้ โดยเฉพาะในช่วง 4 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ หากตั้งครรภ์ หรือคิดว่าอาจจะตั้งครรภ์ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบในทันที
ยานี้สามารถส่งต่อผ่านน้ำนมแม่ได้ โปรดปรึกษากับแพทย์ก่อนการให้นมบุตร
ความปลอดภัยต่อการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
ยังไม่มีงานวิจัยที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับความเสี่ยงในสตรีที่ใช้ยานี้ในช่วงการตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อหาประโยชน์และความเสี่ยงก่อนการใช้ยานี้ ยาเมดรอกซีโปรเจสเตอโรนจัดอยู่ในประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อสตรีมีครรภ์ ประเภท X โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA)
การจัดประเภทของยาที่มีความเสี่ยงต่อสตรีมีครรภ์โดยองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกามีดังนี้
- A= ไม่มีความเสี่ยง
- B= ไม่พบความเสี่ยงในการวิจัยบางชิ้น
- C= อาจจะมีความเสี่ยง
- D= มีหลักฐานความเสี่ยง
- X= ยาต้องห้าม
- N= ไม่ทราบแน่ชัด
ผลข้างเคียง
ผลข้างเคียงของการใช้ยา เมดรอกซีโปรเจสเตอโรน
อาจเกิดอาการคลื่นไส้ ท้องอืด กดเจ็บที่หน้าอก ปวดหัว สารคัดหลั่งจากช่องคลอดเปลี่ยนสี อารมณ์แปรปรวน มองเห็นไม่ชัด มึนงง ง่วงซึม หรือน้ำหนักเพิ่ม/ลด หากอาการเหล่านี้ไม่ยอมหายไป หรือมีอาการแย่ลง ให้แจ้งแพทย์หรือเภสัชกรในทันที
โปรดจำไว้ว่าการที่แพทย์ให้ใช้ยาตัวนี้ เนื่องพิจารณาแล้วว่ายามีประโยชน์ มากกว่าความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น และคนที่ใช้ยานี้ส่วนใหญ่ไม่พบผลข้างเคียงที่ร้ายแรงใดๆ
โปรดแจ้งแพทย์ทันทีหากเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง เช่น
- เลือดออกที่ช่องคลอดอย่างผิดปกติ เป็นจุดหรือเลือดออกกะปริดกะปรอย
- จิตใจและอารมณ์เปลี่ยนแปลง เช่น ซึมเศร้า เสียความทรงจำ
- มีอาการบวมที่มือและขา
- ปัสสาวะบ่อย รู้สึกแสบร้อน เจ็บปวด
- มีก้อนในเต้านม
- มีจุดสีคล้ำที่ผิวหรือใบหน้า
- ผิวและดวงตาเป็นสีเหลือง
- รู้สึกเหนื่อยล้าอย่างผิดปกติ
นานๆ ครั้งจะพบว่า ยานี้อาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับลิ่มเลือดที่รุนแรง จนอาจถึงแก่ชีวิตได้ เช่น
- หัวใจขาดเลือดฉับพลัน
- สโตรก
- ลิ่มเลือดในปอดหรือขา
- ตาบอด
รับการรักษาพยาบาลฉุกเฉินทันที หากมีอาการดังต่อไปนี้ ได้แก่
- ปวดที่หน้าอก กราม แขนข้างซ้าย
- รู้สึกอ่อนแรงที่ข้างใดข้างหนึ่งของร่างกาย
- พูดไม่ชัด
- การมองเห็นเปลี่ยนแปลงฉับพลัน มองเห็นไม่ชัดหรือเห็นภาพซ้อน สูญเสียการมองเห็น ตาปูด
- สับสน
- ปวดหัวอย่างรุนแรงฉับพลัน
- มึนงงอย่างรุนแรง
- หมดสติ
- หายใจติดขัด
- ไอเป็นเลือด
- มีอาการปวด
- อ่อนแรงที่บริเวณแขนและขา
- มีอาการปวดและบวมที่น่อง
- รู้สึกอุ่นเมื่อสัมผัส
บางครั้งอาจมีอาการแพ้ยานี้ที่รุนแรง แต่ส่วนใหญ่นั้นหาได้ยาก แต่ควรรับการรักษาในทันทีหากสังเกตเห็นอาการแพ้ที่รุนแรง ได้แก่ ผดผื่น คันและบวม โดยเฉพาะที่ใบหน้า ลิ้น ลำคอ รู้สึกมึนงงอย่างรุนแรง หายใจติดขัด
ไม่ใช่ทุกคนจะเจอกับผลข้างเคียงเหล่านี้ และอาจจะมีอาการอย่างอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น ถ้ามีข้อสงสัยใด ๆ โปรดปรึกษากับแพทย์
ปฏิกิริยาของยา
ปฏิกิริยากับยาอื่น
ยาบางตัวที่อาจมีปฏิกิริยากับยานี้ ได้แก่
- อะมิโนกลูเทติมายด์ (aminoglutethimide)
- ยาที่ส่งผลกระทบต่อเอ็นไซม์ในตับที่กำจัดยาเมดรอกซีโปรเจสเตอโรนออกจากร่างกาย เช่น ยาไรแฟมพิน (rifampin) เซนต์จอห์นเวิร์ต
- ยาต้านเชื้อรากลุ่มเอโซล (azole antifungals)
- ไอทราโคนาโซล (itraconazole)
- ยาต้านชักบางชนิด เช่น คาร์บามาเซพีน (carbamazepine) ฟีโนบาร์บิทัล (phenobarbital) เฟนิโทอิน (phenytoin)
ยานี้สามารถส่งผลกระทบต่อการตรวจภายในห้องแล็บบางอย่างได้ อย่าลืมแจ้งผู้ปฏิบัติการในห้องแล็บและแพทย์ ให้ทุกคนทราบว่า กำลังใช้ยาตัวนี้
เมดรอกซีโปรเจสเตอโรนอาจเกิดปฏิกิริยากับยาอื่นที่กำลังใช้อยู่ ซึ่งอาจส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น
ควรจะบอกแพทย์หรือเภสัชกรว่ากำลังใช้ยาอะไรอยู่บ้าง (ทั้งยาตามใบสั่งแพทย์ ยาที่ซื้อได้เอง และสมุนไพรต่างๆ) เพื่อความปลอดภัย โปรดอย่าเริ่ม หยุด หรือเปลี่ยนขนาดยาโดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์
ปฏิกิริยากับอาหารหรือแอลกอฮอล์
เมดรอกซีโปรเจสเตอโรนอาจมีปฏิกิริยากับอาหารหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดยส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา หรือเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียง โปรดปรึกษากับแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเสมอ
ปฏิกิริยากับอาการโรคอื่น
เมดรอกซีโปรเจสเตอโรนอาจส่งผลให้อาการโรคแย่ลง หรือส่งผลต่อการออกฤทธิ์ของยา โปรดแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงสภาวะโรคก่อนใช้ยาเสมอ
ขนาดยา
ข้อมูลในที่นี้ไม่มีเจตนาให้ใช้ทดแทนคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษากับแพทย์และเภสัชกรทุกครั้งเพื่อรับทราบข้อมูลเพิ่มเติม
ขนาดยาเมดรอกซีโปรเจสเตอโรนสำหรับผู้ใหญ่
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis)
104 มก. ฉีดใต้ผิวหนังทุก ๆ 3 เดือน (12 ถึง 14 สัปดาห์)
ระยะเวลาในการรักษา ไม่ควรเกิน 2 ปี
คำแนะนำ
- สำหรับผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์เป็นประจำ และมีประจำเดือนตามปกติ การฉีดยาครั้งแรกควรให้ภายใน 5 วันแรกของรอบประจำเดือนตามปกติ หรืออย่างน้อย 6 สัปดาห์หลังการคลอด หากผู้ป่วยนั้นให้นมบุตร
- หากระยะระหว่างการฉีดยาแต่ละครั้งมากกว่า 14 สัปดาห์ ควรตรวจให้แน่ใจว่าไม่ได้ตั้งครรภ์ก่อนให้ยานี้
- ควรพิจารณาผลกระทบระยะยาวของการฉีดยาใต้ผิวหนังต่อความหนาแน่นของมวลกระดูก
- หากอาการกลับมาหลังจากหยุดใช้ยา ควรมีการประเมินผลความหนาแน่นของมวลกระดูก ก่อนการรักษาอีกครั้ง
การใช้งาน เพื่อจัดการอาการปวดที่เกี่ยวข้องกับเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อการป้องกันเยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวผิดปกติ (Endometrial hyperplasia)
ยาเม็ดรับประทาน
5 หรือ 10 มก. ต่อวัน เป็นเวลา 12 ถึง 14 วันติดต่อในแต่ละเดือน สำหรับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่ได้รับฮอร์โมนทดแทนเอสโตรเจน (Conjugated estrogens) 0.625 มก. ต่อวัน เริ่มให้ยาในวันแรกของรอบการมีประจำเดือน หรือวันที่ 16 ของการมีประจำเดือน
คำแนะนำ
- ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีมดลูก และรับประทานเอสโตรเจน ควรจะเริ่มต้นบำบัดด้วยฮอร์โมนโพรเจสทิน (progestin therapy) ด้วย เพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งที่เยื่อบุโพรงมดลูก
- การใช้เอสโตรเจนเดี่ยวๆ หรือใช้คู่กับโพรเจสติน ควรใช้ด้วยขนาดยาที่ต่ำที่สุดเท่าที่มีประสิทธิภาพ และใช้ในระยะเวลาที่สั้นที่สุด ขนาดยาเริ่มต้นควรเป็นขนาดยาที่ต่ำที่สุด
- แนะนำว่าควรมีการประเมินซ้ำเป็นครั้งคราว (ระยะห่างประมาณ 3 ถึง 6 เดือน) เพื่อตรวจหาว่าการรักษานั้นยังจำเป็นหรือไม่
- สำหรับผู้หญิงที่มีมดลูก ควรมีการสุ่มตรวจชิ้นเนื้อจากโพรงมดลูก (Endometrial Sampling) เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีเนื้อร้าย ในกรณีที่มีอาการเลือดออกจากช่องคลอดที่ผิดปกติบ่อยครั้ง หรือกลับมาเป็นซ้ำ
การใช้งาน เพื่อป้องกันเยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวผิดปกติในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่ไม่ได้ผ่าตัดมดลูก (non-hysterectomy) ที่ได้รับฮอร์โมนทดแทนเอสโตรเจน 0.625 มก. ต่อวัน
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อการคุมกำเนิด (Contraception)
ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
150 มก. ทุก ๆ 3 เดือน (13 สัปดาห์) ที่กล้ามเนื้อกลูเตียล (gluteal) หรือเดลทอยด์ (deltoid)
ฉีดใต้ผิวหนัง
104 มก. ทุก ๆ 3 เดือน (12 ถึง 14 สัปดาห์) เข้าไปในต้นขาหรือหน้าท้อง
การฉีดครั้งแรก
- ต้องแน่ใจว่าผู้ป่วยไม่ได้ตั้งครรภ์ขณะที่ฉีดยาครั้งแรก
- การฉีดยาครั้งแรกควรให้แค่ในช่วง 5 วันแรกของรอบประจำเดือนตามปกติ ภายใน 5 วันหลังคลอดถ้าหากไม่ได้ให้นมบุตร และสัปดาห์ที่ 6 หลังการคลอดหากให้นมบุตร
การสับเปลี่ยนมาจากวิธีการคุมกำเนิดแบบอื่น
- การฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ การฉีดยาครั้งแรกควรให้ในวันถัดจากการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดในระยะทำงานครั้งสุดท้าย หรืออย่างน้อยในวันหลังจากรับประทานยาคุมกำเนิดในระยะพัก
- การฉีดยาใต้ผิวหนัง การฉีดยาครั้งแรกควรให้ภายใน 7 วัน หลังจากวันสุดท้ายที่รับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดในระยะทำงาน หรือหลังจากถอดแผ่นหรือห่วงคุมกำเนิดออก ในแบบเดียวกัน จะรักษาการครอบคลุมของการคุมกำเนิดไว้ได้ เมื่อเปลี่ยนจากการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อขนาด 150 มก. ควรให้ยาครั้งต่อไปภายในขนาดยาที่กำหนด สำหรับการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ
คำแนะนำ
- หากระยะห่างระหว่างการฉีดแต่ละครั้งนั้นมากกว่า 13 สัปดาห์ ควรตรวจการตั้งครรภ์ก่อนการใช้ยานี้
- ประสิทธิภาพของยาแขวนตะกอนสำหรับฉีดเข้ากล้ามเนื้อนั้น ขึ้นอยู่กับการให้ยาตามตารางอย่างเคร่งครัด
- ควรพิจารณาความเสี่ยง/ประโยชน์ของการสูญเสียความหนาแน่นของมวลกระดูก ในผู้หญิงทุกช่วงวัยและผลกระทบต่อค่ามวลกระดูกสูงสุดในวัยรุ่น ควบคู่ไปกับการประเมินผลการลดลงของความหนาแน่นของมวลกระดูกที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ และ/หรือให้นมบุตร ขณะที่ฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อในระยะยาว
วิธีการใช้ เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ในผู้หญิงที่มีโอกาสจะตั้งครรภ์
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาอาการเลือดออกจากมดลูกที่ผิดปกติ
ยาเม็ดสำหรับรับประทาน
- 5 หรือ 10 มก. ต่อวัน เป็นเวลา 5 ถึง 10 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 หรือ 21 ของรอบการมีประจำเดือน
- ขนาดยาเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงสูงสุดต่อสารคัดหลั่งของเยื่อบุโพรงมดลูก ที่มีการเตรียมพร้อมอย่างเพียงพอด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนภายในร่างกาย (endogenous) หรือสังเคราะห์จากภายนอก (exogenous) 10 มก. ต่อวันเป็นเวลา 10 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 16 ของรอบการมีประจำเดือน
คำแนะนำ
- การมีเลือดออกภายหลังการหยุดยา มักจะเกิดขึ้นภายใน 3 ถึง 7 วัน หลังจากการหยุดรับประทานยาเม็ด
- ผู้ป่วยที่เคยมีการเกิดซ้ำของเลือดออกจากมดลูกแบบผิดปกติ อาจได้รับประโยชน์จากการวางแผนรอบการมีประจำเดือนด้วยยาเม็ดแบบรับประทาน
การใช้งาน อาการเลือดออกจากมดลูกที่ผิดปกติ เนื่องจากระดับความไม่สมดุลของฮอร์โมน เช่น เนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูก หรือมะเร็งมดลูก
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาการขาดประจำเดือน (Amenorrhea)
ยาเม็ดสำหรับรับประทาน
- 5 หรือ 10 มก. ต่อวัน เป็นเวลา 5 ถึง 10 วัน
- ขนาดยาสำหรับการเหนี่ยวนำการเปลี่ยนแปลงของสารคัดหลั่งของเยื่อบุโพรงมดลูก ที่มีการเตรียมพร้อมอย่างเพียงพอด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนภายในร่างกาย (endogenous) หรือที่สังเคราะห์จากภายนอก (exogenous): 10 มก. ต่อวัน เป็นเวลา 10 วัน
คำแนะนำ
- สามารถเริ่มการรักษาเมื่อไหร่ก็ได้
- การมีเลือดออกภายหลังการหยุดยา มักจะเกิดขึ้นภายใน 3 ถึง 7 วัน หลังจากการหยุดรับประทานยาเม็ด
การใช้งาน เพื่อรักษาการขาดประจำเดือนแบบทุติยภูมิ (secondary amenorrhea) เนื่องจากระดับความไม่สมดุลของฮอร์โมน เช่น เนื้องอกกล้ามเนื้อมดลูก หรือมะเร็งมดลูก
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษาโรคมะเร็งในเซลล์ตับ (Renal Cell Carcinoma)
- ขนาดยาเริ่มต้น 400 ถึง 1000 มก. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อสัปดาห์ละครั้ง
- ขนาดยาปกติ ลดขนาดยาลงมาที่ 400 มก. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อเดือนละครั้ง เพื่อรักษาระดับของการพัฒนา
คำแนะนำ
- ไม่แนะนำให้ใช้ยานี้ในการบำบัดเบื้องต้น
- ไม่สามารถตัดความรู้สึกไวที่มากขึ้นในกลุ่มผู้สูงอายุได้
- ความถี่ในการให้ยาอาจลดลงหากมีการพัฒนาหรือการคงตัวเกิดขึ้น โดยปกติมักจะภายในไม่กี่สัปดาห์ไปจนถึงเดือน
การใช้งาน ใช้เป็นการรักษาเสริม และการรักษาบรรเทา ในกรณีผ่าตัดไม่ได้ ทั้งเยื่อบุโพรงมดลูกกระจายไปที่อื่น (metastatic endometrial) หรือมะเร็งตับ
ขนาดยาสำหรับผู้ใหญ่เพื่อรักษามะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก (Endometrial Carcinoma)
- ขนาดยาเริ่มต้น: 400 ถึง 1000 มก. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อสัปดาห์ละครั้ง
- ขนาดยาปกติ: ลดขนาดยาลงมาที่ 400 มก. ฉีดเข้ากล้ามเนื้อเดือนละครั้งเพื่อรักษาระดับของการพัฒนา
คำแนะนำ
- ไม่แนะนำให้ใช้ยานี้ในการบำบัดเบื้องต้น
- ไม่สามารถตัดความรู้สึกไวที่มากขึ้นในกลุ่มผู้สูงอายุได้
- ความถี่ในการให้ยาอาจลดลงหากมีการพัฒนาหรือการคงตัวเกิดขึ้น โดยปกติมักจะภายในไม่กี่สัปดาห์ไปจนถึงเดือน
การใช้งาน ใช้เป็นการรักษาเสริม และการรักษาบรรเทา ในกรณีผ่าตัดไม่ได้ รวมทั้งเยื่อบุโพรงมดลูกกระจายไปที่อื่น (metastatic endometrial) หรือมะเร็งตับ
การปรับขนาดยาสำหรับไต
ยังไม่มีการศึกษาวิจัยในเรื่องนี้
การปรับขนาดยาสำหรับตับ
ห้ามใช้ในผู้ที่มีอาการตับบกพร่องหรือเป็นโรคตับ
คำแนะนำอื่นๆ
คำแนะนำการใช้
การฉีดยา
- เขย่ายาให้ดีก่อนใช้เพื่อสร้างรูบแบบยาแขวนตะกอนที่เหมือนกัน
- เปลี่ยนบริเวณฉีดยาทุกครั้ง
- ไม่จำเป็นต้องปรับขนาดยาสำหรับน้ำหนักตัว
- อย่าใช้เป็นการคุมกำเนิดในระยะยาว (นานกว่า 2 ปี) นอกจากว่าวิธีการคุมกำเนิดแบบอื่นนั้นจะไม่เพียงพอ
- เพื่อหลักเลี่ยงการฉีดยาใต้ผิวหนังโดยไม่ตั้งใจ ควรมีการประเมินโครงสร้างร่างกายก่อนการฉีดยาในแต่ละครั้งเพื่อหาว่าจำเป็นต้องใช้เข็มที่ยาวกว่านี้หรือไม่ โดยเฉพาะการฉีดเข้ากล้ามเนื้อกลูเตียล
- แนะนำให้ใช้ยาในขนาดที่ต่ำที่สุดเท่าที่มีประสิทธิภาพและรักษาในระยะเวลาที่สั้นที่สุด
ทั่วไป
- ควรมีประวัติทางการแพทย์ที่สมบูรณ์ทั้งของบุคคลและในครอบครัว ก่อนเริ่มต้นใช้ยาหรือกลับมาใช้ยานี้อีกครั้ง
- ควรมีการตรวจประวัติและตรวจร่างกายประจำปี เช่น ความดันโลหิต อวัยวะเกี่ยวกับเต้านม ท้อง และกระดูกเชิงกราน รวมทั้งเซลล์วิทยาปากมดลูก (cervical cytology) และการตรวจสอบในห้องแล็บที่เกี่ยวข้องในผู้ป่วยที่ใช้ยานี้
การเฝ้าสังเกต
- กล้ามเนื้อและกระดูก (Musculoskeletal) ความหนาแน่นของมวลกระดูก
- หัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular) ความดันโลหิต
- กระบวนการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต (Carbohydrate metabolism) เฝ้าสังเกตผู้ป่วยโรคเบาหวานอย่างใกล้ชิด
คำแนะนำสำหรับผู้ป่วย
- ผู้ป่วยควรรายงานการได้รับยานี้ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์
- ผู้ป่วยที่ใช้ยาคุมกำเนิดแบบฮอร์โมนควรไปหาแพทย์ปีละครั้ง เพื่อทำการตรวจความดันโลหิตและการดูแลสุขภาพอื่นๆ
- การฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อนั้น ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี (เอดส์) และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ได้
- ในช่วงเริ่มต้นของการรักษา รอบการมีประจำเดือนการถูกรบกวนทำให้เกิดอาการเลือดออก หรือเลือดกระปริดกระปรอยผิดปกติและไม่สามารถคาดเดาได้ และมักจะลดลงหลังจากดำเนินการรักษาไปอย่างต่อเนื่อง
- ใช้วิธีการคุมกำเนิดสำรอง หรืออีกทางเลือกหนึ่ง เมื่อมีการใช้ตัวเหนี่ยวนำเอ็นไซม์ (enzyme inducers) คู่กับยานี้
ขนาดยาเมดรอกซีโปรเจสเตอโรนสำหรับเด็ก
ขนาดยาสำหรับเด็กเพื่อการคุมกำเนิด (Contraception)
สำหรับเด็กหลังเริ่มมีประจำเดือนและวัยรุ่น
ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
- 150 มก. ทุก ๆ 3 เดือน (13 สัปดาห์) ที่กล้ามเนื้อกลูเตียล (gluteal) หรือเดลทอยด์ (deltoid)
ฉีดใต้ผิวหนัง
- 104 มก. ทุกๆ 3 เดือน (12 ถึง 14 สัปดาห์) เข้าไปในต้นขาหรือหน้าท้อง
การฉีดครั้งแรก
- ต้องแน่ใจว่าผู้ป่วยไม่ได้ตั้งครรภ์ขณะที่ฉีดยาครั้งแรก
- การฉีดยาครั้งแรกควรให้แค่ในช่วง 5 วันแรกของรอบประจำเดือนตามปกติ ภายใน 5 วันหลังคลอด ถ้าหากไม่ได้ให้นมบุตร และสัปดาห์ที่ 6 หลังการคลอดหากให้นมบุตร
การสับเปลี่ยนมาจากวิธีการคุมกำเนิดแบบอื่น
- การฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ: การฉีดยาครั้งแรกควรให้ในวันถัดจากการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดในระยะทำงานครั้งสุดท้าย หรืออย่างน้อยในวันหลังจากรับประทานยาคุมกำเนิดในระยะพัก
- การฉีดยาใต้ผิวหนัง: การฉีดยาครั้งแรกควรให้ภายใน 7 วันหลังจากวันสุดท้าย ที่รับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดในระยะทำงาน หรือหลังจากถอดแผ่นหรือห่วงคุมกำเนิดออก ในทางที่คล้ายคลึงกัน จะรักษาความคลอบคลุมการคุมกำเนิดเมื่อสับเปลี่ยนจากการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อขนาด 150 มก. ควรให้ยาครั้งต่อไปภายในขนาดยาที่กำหนดสำหรับการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ
คำแนะนำ
- หากระยะห่างระหว่างการฉีดแต่ละครั้งนั้นมากกว่า 13 สัปดาห์ ควรตรวจการตั้งครรภ์ก่อนจะให้ยานี้
- ประสิทธิภาพของยาแขวนตะกอนสำหรับฉีดเข้ากล้ามเนื้อนั้น ขึ้นอยู่กับการให้ยาตามตารางอย่างเคร่งครัด
- ควรพิจารณาความเสี่ยง/ประโยชน์ของการสูญเสียความหนาแน่นของมวลกระดูกในผู้หญิงทุกช่วงวัย และผลกระทบต่อค่ามวลกระดูกสูงสุดในวัยรุ่น ควบคู่ไปกับการประเมินผลการลดลงของความหนาแน่นของมวลกระดูก ที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ และ/หรือ ให้นมบุตร ขณะที่ฉีดยาในระยะยาว
การใช้งาน เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ในผู้หญิงที่มีโอกาสจะตั้งครรภ์
รูปแบบของยา
ความแรงและรูปแบบของยามีดังนี้
- ยาเม็ดสำหรับรับประทาน
- ยาแขวนตะกอนสำหรับฉีดกล้ามเนื้อ
- ยาแขวนตะกอนสำหรับฉีดใต้ผิวหนัง
- ยาผงสำหรับผสม
กรณีลืมใช้ยา
หากเกิดเหตุฉุกเฉินหรือใช้ยาเกินขนาด ควรแจ้งเหตุฉุกเฉินหรือนำส่งห้องฉุกเฉินใกล้บ้านโดยทันที
กรณีลืมใช้ยา
หากลืมใช้ยาควรรีบใช้ในทันทีที่นึกได้ หรือถ้าหากใกล้ถึงเวลาใช้ยาครั้งต่อไป ให้ข้ามรอบไปใช้ยาตามตารางปกติได้เลย ไม่ควรเพิ่มปริมาณยา