backup og meta

7 รูปแบบ ของ อาการปวดหัวยอดฮิต ที่คนส่วนใหญ่นิยมเป็น

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย ทีม Hello คุณหมอ


เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน · แก้ไขล่าสุด 02/02/2021

    7 รูปแบบ ของ อาการปวดหัวยอดฮิต ที่คนส่วนใหญ่นิยมเป็น

    ปวดศีรษะจนไม่อันเป็นทำอะไร ทั้งรบกวนการพักผ่อนระหว่างวัน อยากจะหลับตาให้สนิทก็ยังยาก แถมยังไม่รู้ว่าตนเองปวดหัวชนิดใดอีก ทำได้แค่ภาวนาให้อาการนี้บรรเทาลงในคืนเร็ววัน แต่ปัญหาเหล่านี้จะหมดไปเมื่อทุกคนได้รู้จักและทำความเข้าใจกับ 7 รูปแบบของ อาการปวดหัวยอดฮิต ที่ Hello คุณหมอได้นำ สาเหตุเบื้องต้น และวิธีรักษามาให้ทุกคนได้ทราบกันแล้ว ในบทความนี้

    รู้จักกับ 7 รูปแบบ ของ อาการปวดหัวยอดฮิต กันเถอะ

    1. ไมเกรน

    เป็นการกระตุ้นอย่างรุนแรงภายในส่วนที่ลึกของศีรษะคุณ เป็นความเจ็บปวดที่อยู่ได้ยาวนาน และติดต่อกันหลายวัน มักปวดด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียว มีความรู้สึกที่ไวต่อการรับกลิ่น และแสงรอบตัว รวมถึงอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนด้วยเล็กน้อย สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในวัยเด็กจนถึงผู้ใหญ่

    สาเหตุที่ทำให้ไมเกรน

    วิธีรักษาอาการไมเกรน

    หากรักษาตามวิธีข้างต้นแล้ว อาการยังไม่ดีขึ้น หรือมากกว่า 15 วัน ควรเข้าขอรับคำแนะนำ และการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง

    View this post on Instagram

    พฤติกรรมอะไร กระตุ้นไมเกรนกำเริบ มาดูกันเลย . #Hellokhunmor #Migraine #HealthTips #Health

    A post shared by HelloKhunMor (@hellokhunmor) on

    1. ปวดศีรษะตึงเครียด

    เป็นเรื่องปกติที่พบได้ทั่วไปในคนส่วนใหญ่ สามารถเกิดได้ครั้งคราว เป็นอาการปวดไปทั่วโดยรอบทั้งศีรษะ พร้อมทั้งมีอาการอ่อนล้าช่วงลำคอ จนถึงกล้ามเนื้อไหล่อีกด้วย

     สาเหตุที่ทำให้ปวดหัวแบบตึงเครียด

    • ความเครียด ความวิตกกังวล
    • รับประทานอาหารไม่ครบทุกมื้อ
    • ขาดการออกกำลังกาย
    • การนอนไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร

    วิธีรักษาอาการปวดหัวแบบตึงเครียด

    • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
    • ออกกำลังกายยืดกล้ามเนื้อย่างสม่ำเสมอ
    • ปรับปรุงท่าทางในชีวิตประจำวัน เช่น ท่านั่งทำงาน
    • รับมือกับความตึงเครียดในแต่ละวัน
    • ฝังเข็ม

    นอกจากนี้อาจมีการใช้ยาแก้ปวด เช่น ไอบูโพนเฟน (Ibuprofen) แอสไพริน (Aspirin) และอะเซดามิโนเฟน (Acetaminophen) ที่สามารถลดอาการปวด หากผู้ป่วยปวดศีรษะมากกว่า 15 วัน หรือมากกว่านั้น ควรรีบขอคำปรึกษาจากแพทย์ทันที

    1. อาการปวดหัวแบบคลัสเตอร์

    มักเกิดขึ้นได้บ่อยในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เป็นอาการปวดด้านใดด้านหนึ่งของใบหน้า หรือด้านหลังศีรษะ บางครั้งอาจมีผื่นแดงขึ้น เหงื่อออกจำนวนมาก รวมถึงน้ำมูก และน้ำตาไหล อาการปวดหัวรูปแบบนี้จะอยู่ได้เพียง 15 นาที ถึง 3 ชั่วโมง เท่านั้น แต่จะเกิดขึ้นได้บ่อยประมาณ 4 ครั้งต่อวันเลยทีเดียว

    สาเหตุที่ทำให้ปวดหัวแบบคลัสเตอร์

    ยังไม่มีการค้นพบที่แน่ชัดมากนัก แต่จะเกิดขึ้นได้บ่อยกับผู้ที่ชอบสูบบุหรี่ หรือดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก

    วิธีรักษาอาการปวดหัวแบบคลัสเตอร์

    1. ปวดหัวจากการใช้แรง

    เป็นอาการปวดหัวที่พบในกลุ่มผู้รักการออกกำลังกายเป็นชีวิตจิตใจ เช่น การวิ่ง กระโดด ยกน้ำหนัก จนทำให้ร่างกายรู้สึกหักโหมนำสู่อาการปวดหัว แต่ไม่ต้องเป็นกังวลไป เพราะเป็นอาการนี้ที่สามารถหายไปได้เองเพียงไม่กี่นาที หรือภายใน 2 วัน

    วิธีรักษาอาการปวดหัวจากการใช้แรง

    คุณสามารถรักษาได้โดยยาสามัญประจำบ้านของเรา ดังนี้

    1. ปวดหัวจากการรับประทานยาเกินขนาด

    เป็นอีกหนึ่งรูปแบบในอาการปวดหัวที่พบบ่อยเช่นกัน มีลักษณะอาการเสมือนกับไมเกรน และปวดหัวตึงเครียด ซึ่งมีสาเหตุมากจากการใช้ยาแก้ปวดติดต่อกันมากกว่า 15 วันต่อเดือน ส่วนมากเป็นยาที่อยู่ในกลุ่มต้านการอักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID) ทริปแทน (Triptan) และอะเซดามิโนเฟน (Acetaminophen)

    วิธีรักษาอาการปวดหัวจากการรับประทานยาเกินขนาด

    หยุดการทานยา และขอคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อได้รับการวางแผนการรักษาใหม่ และกำหนดยาชนิดอื่นที่ไม่รุนแรงทดแทน

    ซึ่งผลข้างเคียงหลังการหยุดยาอาจทำให้คลื่นไส้อาเจียน การนอนหลับไม่มีประสิทธิภาพ  รวมถึงมีความวิตกกังวล แต่อาการที่กล่าวมานั้นจะหายไปได้เองภายในเวลา 1-3 สัปดาห์

    1. ปวดหัวช่วงเป็นประจำเดือน

    เมื่อฮอร์โมนในเพศหญิงเปลี่ยนแปลง เข้าสู่ช่วงวัยมีประจำเดือนมักจะมีสัญญาณเตือน เช่น ปวดหลัง เต้านมคัดตึง อ่อนเพลีย รวมถึงอาการปวดหัวนี้ด้วย และอาจเชื่อมโยงไปกับการปวดหัวแบบไมเกรนในบางครั้ง หรือช่วงการตกไข่

    วิธีรักษาอาการปวดหัวช่วงเป็นประจำเดือน

    • ยารักษา เช่น ยาที่อยู่ในกลุ่มต้านการอักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID) ทริปแทน (Triptan)
    • บำบัดทดแทนฮอร์โมนจากสตรีที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือน

    อาจมีการรักษาในรูปแบบอื่นนอกเหนือที่กล่าวมาข้างต้น โปรดแจ้งอาการเบื้องต้น และขอคำแนะนำ จากแพทย์ หรือเภสัชกรเพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้องเหมาะสม

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำปรึกษาด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    ทีม Hello คุณหมอ


    เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน · แก้ไขล่าสุด 02/02/2021

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา