การนั่งเครื่องบิน หรือโดยสารเครื่องบินไปยังสถานที่ต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ เป็นเรื่องปกติธรรมดาของชีวิตยุคใหม่ จนหลายคนอาจไม่ทันฉุกคิดว่า การเดินทางเป็นระยะเวลานานๆ โดยต้องอยู่ในพื้นที่จำกัด ท่ามกลางผู้คนจำนวนมากนั้น อาจส่งผลเสียสุขภาพของเราได้มากมายหลายด้าน เพราะฉะนั้นหากอยากให้การเดินทางของคุณ ไม่ว่าจะเพื่อการพักผ่อนหรือการทำงาน เป็นไปอย่างปลอดภัยที่สุด Hello คุณหมอ อยากชวนคุณมาทำความรู้จักกับปัญหาสุขภาพที่อาจต้องเจอ จากการเดินทางโดยเครื่องบิน จะได้เตรียมพร้อมรับมือเอาไว้ให้ดี
ปัญหาสุขภาพจาก การนั่งเครื่องบิน
ภาวะพร่องออกซิเจน จาก การนั่งเครื่องบิน
เมื่อเครื่องบินอยู่ในที่สูง อากาศภายในห้องโดยสารจะมีแรงดันลดลงถึง 75% จากชั้นบรรยากาศปกติ ทำให้สามารถเกิดภาวะพร่องออกซิเจน (Hypoxia) ขึ้นได้ นั่นก็คือ การที่ออกซิเจนในเลือดจะลดลงประมาณ 5-10% ถ้าหากร่างกายไม่สามารถปรับตัวจากสภาวะนี้ได้ อาจทำให้เวียนศีรษะ
สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับปอด เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease; COPD) โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Disease) มีความเสี่ยงที่อาจเกิดปัญหาสุขภาพร้ายแรงจากภาวะพร่องออกซิเจนมากกว่าคนปกติ ทางที่ดีควรปรึกษาคุณหมอก่อนออกเดินทางทุกครั้ง หากจำเป็นต้องพกถังออกซิเจนไป อย่าลืมแจ้งสายการบินให้ทราบล่วงหน้า
โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ
โรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถติดต่อได้จากการนั่งในห้องโดยสารเป็นเวลานาน โดยปกติ ห้องโดยสารบนเครื่องบินจะมีเครื่องกรองอากาศที่กำจัดไวรัสหรือแบคทีเรีย แต่ในกรณีที่เครื่องบินล่าช้า หรือมีเหตุที่ทำให้ต้องปิดเครื่องกรองนี้ ก็อาจจะทำให้แบคทีเรียหรือไวรัสแพร่กระจายในห้องโดยสารได้
ผู้ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินหายใจจาก การนั่งเครื่องบิน มากที่สุดก็คือ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ดังนั้นก่อนเดินทางทุกครั้ง นอกจากจะต้องดูแลสุขภาพให้แข็งแรงแล้ว คุณอาจลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย โดยเฉพาะคนที่เป็นหวัด หรือไข้หวัดใหญ่ เพราะเสี่ยงติดเชื้อง่ายกว่า
ภาวะหลอดเลือดดำอุดตัน (Deep Vein Thrombosis หรือ DVT)
ภาวะหลอดเลือดดำอุดตัน (DVT หรือ Deep Vein Thrombosis) หรือที่เรียกกันว่า “โรคชั้นประหยัด (Economy-Class Syndrome)’ เป็นภาวะที่เกิดจากการนั่งในพื้นที่แคบๆเป็นเวลานาน ทำให้เลือดไหลเวียนได้ช้าลง เมื่อรวมกับสภาวะพร่องออกซิเจน ก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดภาวะหลอดเลือดดำอุดตันได้ง่ายขึ้น หากลิ่มเลือดดังกล่าวแตกตัว และไปกระจุกอยู่ที่หลอดเลือดแดงสู่ปอด ก็อาจนำไปสู่โรคลิ่มเลือดอุดกั้นในหลอดเลือดปอดเฉียบพลันได้ (Acute Pulmonary Embolism หรือ APE)
วิธีลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะนี้จากการนั่งเครื่องบิน วิธีหนึ่งก็คือ การกินยาเบบี้แอสไพริน (Aspirin 81 mg) ก่อนออกเดินทาง เพื่อป้องกันไม่ให้เลือดจับตัวเป็นลิ่ม ในกรณีนี้ หากคุณคิดว่ามีความเสี่ยง ควรปรึกษาแพทย์ก่อน นอกจากนี้ หากต้องเดินทางเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะนั่งรถโดยสาร รถไฟ หรือนั่งเครื่องบิน คุณควรแต่งตัวให้สบายที่สุด เลือกใส่เสื้อหลวม ๆ และรองเท้าที่ไม่คับจนเกินไป รวมทั้งพยายามขยับร่างกายให้ได้มากที่สุด โดยอาจจะลุกเดินไปเดินมาชั่วโมงละครั้ง ขณะอยู่บนเครื่องบินก็ได้
การปนเปื้อนของแบคทีเรีย
แบคทีเรียสามารถอยู่ในห้องโดยสารได้นานกว่า 7 วัน ในห้องโดยสารบนเครื่องบิน สามารถพบแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของโรคต่างๆ ได้จากช่องเก็บเอกสาร ถาดอาหาร หน้าต่าง หรือที่พักแขน แบคทีเรียที่พบได้ เช่น เชื้อดื้อยา (Staphylococcus aureus หรือ MRSA) ที่เป็นสาเหตุของโรคผิวหนัง โรคปอดบวม และภาวะการติดเชื้อ เชื้ออีโคไล (E. coli) ที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ โรคระบบทางเดินหายใจ และโรคท้องร่วง
นอกจากสิ่งของที่อยู่ห้องโดยสารแล้ว อาหารและเครื่องดื่มบนเครื่องบิน ก็อาจเสี่ยงต่อการปนเปื้อนแบคทีเรียได้เช่นเดียวกัน แม้ว่าจะต้มน้ำก่อนชงเครื่องดื่มทุกครั้ง แต่อุณหภูมิที่ใช้ก็อาจไม่มากพอจะฆ่าเชื้อโรคเหล่านี้ได้
การนั่งเครื่องบิน อาจทำให้ขาดน้ำ
งานวิจัยชี้ว่า การเดินทางโดยเครื่องบินสามชั่วโมงสามารถทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำได้มากถึง 1.5 ลิตร และเนื่องจากในห้องโดยสารบนเครื่องบินมีระดับความชื้นค่อนข้างต่ำ จึงทำให้เยื่อเมือกต่างๆ ในจมูก ปาก และคอ แห้งกว่าปกติ ฉะนั้น ในระหว่างนั่งเครื่องบิน คุณจึงจำเป็นต้องดื่มน้ำให้มาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ อย่าปล่อยให้ตัวเองรู้สึกว่าปากแห้ง จมูกแห้ง
อันตรายจากรังสีคอสมิก
ระดับความสูงของเครื่องบินในอากาศ ทำให้มีโอกาสที่จะสัมผัสรังสีอันตรายได้มากกว่าบนพื้นดิน เพราะรังสีบางตัวต้องกรองในชั้นบรรยากาศ ซึ่งอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเส้นทางบิน รังสีอันตรายจากชั้นบรรยากาศทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง
โดยองค์การนาซ่าค้นพบว่า รังสีเหล่านี้เป็นตัวกระตุ้นของโรคอันตรายมากมาย แต่ในกรณีนี้ หากคุณไม่ได้ นั่งเครื่องบินบ่อย ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลแต่อย่างใด เพราะผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงมากที่สุดก็คือ ผู้ที่ต้องเดินทางเป็นประจำ เช่น พนักงานบนเครื่องบิน อย่างไรก็ตาม แพทย์ยังไม่แน่ใจว่า ผลกระทบจากรังสีสามารถส่งผลต่อสุขภาพในด้านใดมากที่สุด หรืออาจไม่ส่งผลกระทบต่อเป็นได้ จึงยังต้องการงานวิจัยในเรื่องนี้เพิ่มมากขึ้น
[embed-health-tool-bmi]