ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย ทีม Hello คุณหมอ
ความผิดปกติในการมองเห็นสี (Poor Vision Color) คือการที่ความสามารถในการแยกแยะความแตกต่างของสีนั้นลดลง หรือที่คนเรียกกันว่าตาบอดสีนั่นเอง
ความผิดปกติในการมองเห็นสี (Poor Vision Color) คือการที่ความสามารถในการแยกแยะความแตกต่างของสีนั้นลดลง แม้คนส่วนใหญ่อาจจะเรียกภาวะนี้ว่า “โรคตาบอดสี’ (colorblind) แต่โรคตาบอดสีที่แท้จริงนั้นคือการมองไม่เห็นสีอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเป็นกรณีที่หายาก
ความผิดปกติในการมองเห็นสีมักจะเป็นโรคแต่กำเนิด ผู้ชายมักมีโอกาสเกิดมาเป็นโรคนี้มากกว่า คนส่วนใหญ่ที่มีความผิดปกติในการมองเห็นสี จะไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างสีแดงและสีเขียวบางเฉดได้ หรือในกรณีที่พบได้น้อยลงมาคือ ไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างสีน้ำเงินและสีเหลืองได้ โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
คุณอาจมีความผิดปกติในการมองเห็นสีโดยที่คุณไม่รู้ตัว บางคนอาจทราบว่า ตนหรือบุตรของตนมีภาวะนี้ก็ต่อเมื่อเกิดความผิดปกติหรือความสับสนในการมองเห็น เช่น เมื่อมีปัญหาในการแยกแยะความแตกต่างของสีไฟจราจร หรือบอกสีของอุปกรณ์การเรียนรู้ไม่ถูกต้อง
ผู้ที่มีความผิดปกติในการมองเห็นสีอาจไม่สามารถบอกความแตกต่างของสิ่งต่อไปนี้ได้
ความผิดปกติในการมองเห็นสีที่พบได้มากคือ ภาวะที่ไม่สามารถมองเห็นสีแดงและสีเขียวได้ บ่อยครั้งที่ผู้ที่บกพร่องในการมองเห็นสีแดง-เขียว หรือเหลือง-น้ำเงิน ไม่ได้ขาดการมองเห็นทั้งสองสีไปอย่างสมบูรณ์ ระดับของการมองเห็นสีที่บกพร่องนั้น มีทั้งระดับเบา ปานกลาง หรือรุนแรง
สำหรับผู้ป่วยบางราย อาจมีอาการอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น หากมีข้อสงสัยใดๆ โปรดปรึกษาแพทย์
หากคุณสงสัยว่าคุณมีปัญหาในการแยกแยะสีบางสี หรือการมองเห็นสีของคุณเปลี่ยนแปลงไป ควรเข้าพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติ เด็กๆ ควรได้รับการตรวจดวงตาที่ครอบคลุม รวมไปถึงการตรวจการมองเห็นสี ก่อนที่จะเข้าโรงเรียน
ยังไม่มีวิธีการรักษาความผิดปกติในการมองเห็นสีแต่กำเนิด แต่หากสาเหตุมาจากอาการป่วยหรือโรคตา การรักษาอาจจะสามารถพัฒนาการมองเห็นสีได้
การมองเห็นสีผ่านสเปกตรัมแสงนั้นเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน โดยกระบวนการนี้จะที่เริ่มต้นที่ดวงตาของคุณ ในการแยกแยะสีขั้นต้น อย่างสีแดง สีน้ำเงิน และสีเขียว
แสงเข้าสู่ดวงตาของคุณผ่านทางกระจกตา (Cornea) ผ่านน้ำวุ้นตา (vitreous body) ซึ่งมีลักษณะเหลวใสโปรงแสงคล้ายเยลลี่หรือไข่ขาว ก่อนจะเข้าสู่เลนส์แก้วตา และผ่านไปยังเซลล์ที่ไวต่อสีซึ่งคือเซลล์รูปกรวย (cones) ที่อยู่ด้านหลังของดวงตาด้านในจอรับภาพ (retina) จากนั้นสารเคมีในเซลล์รูปกรวยจะแยกแยะสี แล้วส่งข้อมูลไปยังเส้นประสาทตาสู่สมอง
หากตาของคุณปกติ คุณจะสามารถแยกแยะความแตกต่างของสีได้ แต่หากเซลล์รูปกรวยของคุณขาดสารเคมีที่ไวต่อแสงหนึ่งชนิดหรือมากกว่านั้น คุณก็อาจจะสามารถมองเห็นได้แค่สีขั้นต้นเพียงสองสีเท่านั้น
สาเหตุของความผิดปกติในการมองเห็นสีมีมากมาย ดังนี้
โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
ข้อมูลที่นำเสนอไม่สามารถใช้แทนข้อแนะนำทางการแพทย์ได้ โปรดปรึกษาแพทย์สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม
หากคุณมีปัญหาในการมองเห็นสี จักษุแพทย์อาจให้คุณเข้ารับการตรวจดวงตา และมองภาพที่ออกแบบมาพิเศษ คือเป็นจุดสีหลายสีที่มีตัวเลขหรือรูปร่างซ่อนอยู่ในนั้น สำหรับผู้ที่มีความผิดปกติในการมองเห็นสีจะมองรูปร่างหรือตัวเลขที่ซ่อนอยู่ในจุดสีได้ยาก หรือมองไม่เห็นเลย
นอกจากการตรวจความผิดปกติในการมองเห็นสีที่ดำเนินการโดยจักษุแพทย์แล้ว ก็อาจมีการตรวจการมองเห็นสีอย่างรวดเร็วโดยอาศัยคอมพิวเตอร์หรือแอปพลิเคชันในโทรศัพท์มือถือ แต่ผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่ถูกต้องเท่ากับการตรวจที่มีมาตรฐานซึ่งดำเนินการโดยจักษุแพทย์
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาความผิดปกติในการมองเห็นสีที่เกิดขึ้นตั้งแต่กำเนิด หรือเกิดขึ้นตามวัย เป็นต้น แต่หากเป็นความผิดปกติในการมองเห็นสีที่เกิดจากโรคหรือยาบางชนิด ก็อาจรักษาให้ดีขึ้นได้ด้วยการควบคุมหรือรักษาโรคที่เป็นสาเหตุ หรือหยุดใช้ยาที่ทำให้เกิดความผิดปกติในการมองเห็นสี
อีกหนึ่งวิธีรักษาความผิดปกติในการมองเห็นสีที่นิยมใช้ก็คือ การสวมแว่นหรือคอนแทคเลนส์ที่มีฟิลเตอร์สี ซึ่งอาจช่วยให้คุณรับรู้ถึงความแตกต่างของสีแต่ละสีได้ดีขึ้น แต่อุปกรณ์เหล่านี้ก็ไม่สามารถช่วยพัฒนาความสามารถในการมองเห็นสีให้กับดวงตาของคุณได้ หากคุณไม่ได้สวมใส่อุปกรณ์ดังกล่าว ก็จะมองเห็นสีผิดเพี้ยนไปดังเดิม
โรคของจอตา (retinal disorders) ที่หายากบางชนิดซึ่งเกี่ยวข้องกับความผิดปกติในการมองเห็นสีอาจแก้ไขได้ด้วยเทคนิคการทดแทนยีน (gene replacement) แต่วิธีการรักษาความผิดปกติในการมองเห็นสีนี้ก็ยังต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติม
ไลฟ์สไตล์และการเยียวยาด้วยตนเองต่อไปนี้ อาจช่วยให้คุณรับมือความผิดปกติในการมองเห็นสีของคุณได้
หากมีคำถาม โปรดปรึกษาแพทย์เพื่อให้เข้าใจวิธีการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำปรึกษาด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
หมายเหตุ
Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด
ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย
ทีม Hello คุณหมอ
ความคิดเห็นทั้งหมด
แบ่งปันความคิดเห็นของคุณ
ร่วมแสดงความคิดเห็นของคุณกับ Hello คุณหมอ
สมัครสมาชิก หรือ เข้าสู่ระบบ เพื่อร่วมการพูดคุย