ยาคุมฉุกเฉินเป็นยาคุมกำเนิดที่ควรใช้เฉพาะช่วงเวลาฉุกเฉินเท่านั้น หากรับประทานยาคุมฉุกเฉินบ่อย ๆ อาจเสี่ยงต่ออันตรายได้ อีกทั้งหากใช้อย่างไม่ถูกต้องอาจส่งผลให้ยาคุมมีประสิทธิภาพลดลงได้ ดังนั้น จึงควรศึกษาว่า ยาคุมฉุกเฉินกินภายในกี่ชั่วโมง ถึงจะปลอดภัย มีประสิทธิภาพสูงสุด
[embed-health-tool-ovulation]
ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน คืออะไร
ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน หรือยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดแบบฉุกเฉิน (Emergency Contraception Pill) มักจะเป็นยาคุมกำเนิดฉุกเฉินชนิดฮอร์โมนเดี่ยว มีเฉพาะฮอร์โมนโพรเจสติน ส่วนประกอบสำคัญ ได้แก่ ตัวยาสำคัญ Levonorgestrel เป็นสารสังเคราะห์เลียนแบบฮอร์โมนโพรเจสเตอโรน มี 2 ขนาด คือ 0.75 มิลลิกรัมต่อเม็ด และ 1.5 มิลลิกรัมต่อเม็ด ออกฤทธิ์ในการรบกวนหรือชะลอการตกไข่ จึงช่วยลดโอกาสการตั้งครรภ์ได้
ยาคุมฉุกเฉินกินภายในกี่ชั่วโมง
- ยาคุมฉุกเฉิน ขนาด 0.75 มิลลิกรัม ควรรับประทานให้เร็วที่สุดหลังมีเพศสัมพันธ์ อย่างช้าไม่เกิน 72 ชั่วโมง ส่วนเม็ดที่ 2 ให้ห่างกัน 12 ชั่วโมง การรับประทานยาเม็ดแรกภายใน 72 ชั่วโมง แล้วตามด้วยยาเม็ดที่สอง จะทำให้ ประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 75% แต่หากเริ่มรับประทานยาภายใน 24 ชั่วโมง หลังการมีเพศสัมพันธ์ ประสิทธิภาพจะเพิ่มขึ้นเป็น 85%
- ยาคุมฉุกเฉิน ขนาด 1.5 มิลลิกรัม ควรรับประทานให้เร็วที่สุดหลังมีเพศสัมพันธ์ อย่างช้าไม่เกิน 72 ชั่วโมง
ยาคุมฉุกเฉินควรใช้เฉพาะในยามฉุกเฉิน กรณีจำเป็นที่มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน หรือเกิดความผิดพลาดจากการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น เช่น เกิดความผิดพลาดขณะใช้ถุงยางอนามัย เกิดถุงยางแตกหรือถุงยางรั่ว
คำแนะนำของการใช้ ยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน
ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินควรใช้ในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น เพราะมีปริมาณฮอร์โมนสูง ไม่ควรรับประทานแทนยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดรับประทานสม่ำเสมอ (Oral Contraceptive Pills) เนื่องจากประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์ต่ำกว่า และอาจเสี่ยงต่อการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น
- ปวดศีรษะ
- วิงเวียน
- คลื่นไส้
- อ่อนเพลีย
- ปวดท้องน้อย
- เลือดออกกะปริดกะปรอย
- พบความผิดปกติของประจำเดือน เช่น ประจำเดือนมายาวนานขึ้น
- อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติการณ์การตั้งครรภ์นอกมดลูก
แม้ว่ายาคุมฉุกเฉินจะมีข้อดีในการรับประทานยาได้เป็นครั้งคราว ไม่ต้องรับประทานทุกวัน จึงสะดวกรวดเร็ว ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพ แต่ไม่อาจใช้ยาคุมฉุกเฉินแทนยาคุมกำเนิด ควรใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้นไม่แนะนำให้รับประทานเกิน 2 กล่องต่อเดือน ทั้งรูปแบบบรรจุ 1 เม็ด และ 2 เม็ด
กลุ่มไหนไม่ควรรับประทานยาคุมฉุกเฉิน
ก่อนรับประทานยาคุมฉุกเฉิน ควรอ่านข้อมูลอย่างละเอียด ซึ่งจะพบกลุ่มที่ไม่ควรรับประทานยาคุมฉุกเฉิน เช่น
- ผู้มีโรคหัวใจและหลอดเลือด
- โรคเกล็ดเลือดสูง
- โรคไมเกรน
- โรคตับ
- กำลังให้นมบุตร
- ผู้ที่มีภาวะมดลูกบิดเบี้ยวรุนแรง มีภาวะติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน ภาวะแพ้ทองแดง หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์
ประจำเดือนหลังรับประทานยาคุมฉุกเฉิน
เมื่อรับประทานยาคุมฉุกเฉิน มักจะมีประจำเดือนภายในเวลาไม่เกิน 1 สัปดาห์ จากนั้นในรอบถัดไป ประจำเดือนจะมาในช่วงเวลาเดิม แต่บางราย อาจพบประจำเดือนรอบต่อไปมาช้าหรือเร็วขึ้น
การใช้ยาคุมฉุกเฉินจึงต้องพิจารณาตามความเหมาะสม อ่านรายละเอียดของฉลากยาให้ครบถ้วน เช่น ยาคุมฉุกเฉินกินภายในกี่ชั่วโมง นอกจากนี้ การใช้ยาคุมฉุกเฉินเป็นทางเลือกในการคุมกำเนิด ไม่ใช่ยาทำแท้ง และไม่สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ หากใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินแล้วพบว่า ร่างกายมีอาการผิดปกติ หรือสงสัยภาวะตั้งครรภ์ ควรรีบไปพบแพทย์