โรคเอดส์ คืออาการระยะสุดท้ายของการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัย อาการโรคเอดส์ผู้ชายอาจไม่แตกต่างจากอาการโรคเอดส์ผู้หญิงมากนัก ทั้งนี้ เชื้อเอชไอวีสามารถแพร่กระจายไปยังบุคคลอื่นได้หากมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือติดต่อผ่านทางเลือดของผู้ติดเชื้อ หากพบว่าติดเชื้อเอชไอวีควรเร่งรักษาในทันทีเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง และป้องกันเชื้อแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่น
[embed-health-tool-bmi]
สาเหตุของโรคเอดส์
สาเหตุของโรคเอดส์เกิดจากร่างกายได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวีจากสารคัดหลั่ง น้ำอสุจิ หรือเลือดของผู้ติดเชื้อผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การถ่ายเลือด หรือการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน ส่งผลให้เชื้อไวรัสเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในการช่วยปกป้องร่างกายจากการติดเชื้อ เมื่อร่างกายมีจำนวนเม็ดเลือดขาวต่ำกว่า 200 เซลล์/ลูกบาศก์มิลลิเมตร จึงอาจส่งผลให้การทำงานของภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงและพัฒนาอาการเป็นโรคเอดส์ได้
อาการโรคเอดส์ผู้ชาย
สำหรับอาการโรคเอดส์ผู้ชายอาจมีสัญญาณเตือนถึงแรงขับทางเพศที่ลดต่ำลงเนื่องจากร่างกายอาจไม่ผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนได้เพียงพอ อีกทั้งยังส่งผลให้เกิดภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ปัสสาวะมีสีขุ่นหรือปะปนเลือด รู้สึกแสบร้อนขณะปัสสาวะ มีแผลที่อวัยวะเพศ โดยอาจมีลักษณะอาการ ดังนี้
1. อาการติดเชื้อเอชไอวีระยะเริ่มต้น อาจปรากฏหลังจากร่างกายเกิดการติดเชื้อประมาณ 2-4 สัปดาห์ ทำให้มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ได้แก่
- ปวดศีรษะ
- เป็นไข้
- ไอ เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองที่คอบวม
- ปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อ
- เกิดผื่นบนผิวหนัง
- ท้องเสีย
- น้ำหนักลด
- เหงื่อออกช่วงเวลากลางคืน
2. อาการระยะแฝง หลังจากติดเชื้อระยะแรก อาการคล้ายไข้หวัดอาจหายไปได้เอง แต่ยังคงมีเชื้อเอชไอวีแฝงอยู่ในร่างกายและเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ โดยอาจใช้เวลานานหลายปี ส่วนใหญ่แล้วมักไม่มีอาการใด ๆ แต่ยังคงสามารถแพร่กระจายเชื้อไวรัสไปสู่ผู้อื่นได้อยู่
3. อาการระยะโรคเอดส์ เมื่อจำนวนเซลล์เม็ดเลือดขาว CD4 ลดลงต่ำกว่า 200 เซลล์/ลูกบาศก์มิลลิเมตร อาจเป็นไปได้ว่ากำลังเข้าสู่ระยะโรคเอดส์ ส่งผลให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย หากไม่ทำการรักษาตั้งแต่ในระยะแรก ๆ เชื้อเอชไอวีก็อาจทำลายระบบภูมิคุ้มกันจนพัฒนาเป็นโรคเอดส์ ซึ่งเป็นการติดเชื้อเอชไอวีระยะสุดท้ายและอาจก่อให้เกิดอาการ ดังต่อไปนี้
- มีไข้ รู้สึกหนาวสั่น
- เหงื่อออกมาก โดยเฉพาะตอนกลางคืน
- ท้องเสียเรื้อรังเกินกว่า 1 สัปดาห์
- น้ำหนักลด
- เหนื่อยล้าง่ายอย่างไม่ทราบสาเหตุ
- มีจุดสีขาวบนลิ้น ในช่องปาก ทวารหนัก อวัยวะเพศ
- ผื่นขึ้นบนผิวหนัง
วิธีรักษาอาการโรคเอดส์ผู้ชาย
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคเอดส์และการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีให้หายขาด แต่มีวิธีที่อาจช่วยไม่ให้อาการโรคเอดส์ รวมทั้งอาการโรคเอดส์ผู้ชายแย่ลง หรือป้องกันการติดเชื้อ ดังนี้
ยาต้านไวรัสเอชไอวี
- กลุ่มยาเอ็นอาร์ทีแอลเอส (NRTIs) เช่น ไซโดวูดีน (Zidovudine) ทีโนโฟเวียร์ (Tenofovir) เอ็มตริไซตาบีน (Emtricitabine) ลามิวูดีน (Lamivudine) อะบาคาเวียร์ (Abacavir) มีส่วนช่วยต้านไวรัสยับยั้งเอนไซม์เชื้อเอชไอวี ซึ่งอาจจำเป็นต้องใช้ร่วมกับยาชนิดอื่น ๆ ตามดุลพินิจของคุณหมอ
- กลุ่มยาเอ็นเอ็นอาร์ทีไอ (NNRTIs) เช่น ริวพิไวรีน (Rilpivirine) เอฟฟาไวเร็นซ์ (Efavirenz) โดราไวรีน (Doravirine)
- สารยับยั้งอินทีเกรส (Integrase inhibitors) อินทีเกรสเป็นเอนไซม์ที่ทำให้เชื้อไวรัสเอชไอวีสามารถแทรกดีเอ็นเอของเข้าไปในเซลล์ CD4 ดังนั้น สารยับยั้งอินทีเกรส เช่น เอ็มตริไซตาบีน (Emtricitabine) ทีโนโฟเวียร์ (Tenofovir) เป็นยาที่ช่วยปิดกั้นโปรตีนอินทีเกรส เพื่อป้องกันเชื้อไวรัสแทรกเข้าสู่ DNA ทำลายเซลล์ระบบภูมิคุ้มกัน
- สารยับยั้งโปรตีเอส (Protease inhibitors) คือยาต้านไวรัสที่ช่วยยับยั้งการแยกโปรตีนของเชื้อไวรัสเอชไอวี ป้องกันการแพร่เชื้อไปยังเซลล์บริเวณอื่น ๆ เช่น ดารูนาเวียร์ (Darunavir) อะทาซานาเวียร์ (Atazanavir)
- สารยับยั้งเชื้อไวรัสเข้ามาในเซลล์เม็ดเลือดขาว (Entry or fusion inhibitors) เช่น เอ็นฟูเวอร์ไทด์ (Enfuvirtide) มาราไวรอค (Maraviroc) เพื่อช่วยป้องกันไม่ใช้เชื้อเอชไอวีจับตัวกับเซลล์เม็ดเลือดขาว CD4
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน
เพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีและนำไปสู่อาการโรคเอดส์ผู้ชาย ควรปฏิบัติตัวดังนี้
- สวมใส่ถุงยางอนามัยก่อนมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง
- ไม่ควรใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
- รักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อเอชไอวี
- จำกัดจำนวนคู่นอนเพื่อลดโอกาสเสี่ยงติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- ตรวจร่างกายเป็นประจำ
นอกจากนี้ควรปรึกษาคุณหมอในการรับยาเพร็พ (PrEP) ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อเอชไอวีแต่มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับเชื้อ และยาเพ็พ (PEP) เป็นยาที่เหมาะสำหรับผู้ที่อาจติดเชื้อเอชไอวี หรือผู้ที่มีอาการเอดส์ผู้ชาย โดยควรเริ่มใช้ภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากได้รับเชื้อเอชไอวี