backup og meta

อาการของโรคเอดส์ สังเกตจากอะไร

ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย สิฏฐิณิศา รัชตวโรทัย


เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน · แก้ไขล่าสุด 03/04/2023

    อาการของโรคเอดส์ สังเกตจากอะไร

    โรคเอดส์ คือ การติดเชื้อเอชไอวีในระยะสุดท้าย หรือที่เรียกว่า ระยะเอดส์ ซึ่งสามารถแพร่กระจายผ่านทางเพศสัมพันธ์ ทางเลือด และแพร่จากแม่สู่ลูกระหว่างการตั้งครรภ์ การคลอดบุตร และการให้นมบุตรได้ด้วย เพื่อความปลอดภัยและเฝ้าระวังการติดเชื้อ ควรศึกษา อาการของโรคเอดส์ รวมถึงอาการติดเชื้อเอชไอวีในระยะแรก ก่อนเสี่ยงเป็นโรคเอดส์ที่อาจทำให้ร่างกายอ่อนแอลง

    โรคเอดส์ เกิดจากอะไร

    โรคเอดส์ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อ การตั้งครรภ์หรือการให้นมบุตรจากแม่ที่ติดเชื้อเอชไอวีสู่ลูก การถ่ายเลือด เช่น การบริจาคเลือด หากไม่ได้รับการรักษา เชื้อเอชไอวีอาจทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวซีดีโฟร์ (CD4) ที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับเชื้อโรค เมื่อใดที่ร่างกายมีเซลล์ซีดีโฟร์ต่ำกว่า 200 เซลล์/ลูกบาศก์มิลลิเมตร ก็อาจส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอลง เสี่ยงต่อการเจ็บป่วยบ่อย และถือว่าการติดเชื้อเอชไอวีเข้าสู่ระยะเอดส์ หรือเป็นโรคเอดส์แล้ว

    ระยะของการติดเชื้อเอชไอวีและ อาการของโรคเอดส์ 

    ระยะของการติดเชื้อเอชไอวีและ อาการของโรคเอดส์ ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวี มีดังนี้

    ระยะที่ 1: อาการติดเชื้อเอชไอวีเฉียบพลัน

    เป็นระยะแรกของการติดเชื้อเอชไอวี อาการอาจปรากฏภายใน 2-4 สัปดาห์หลังจากร่างกายได้รับเชื้อ โดยมีอาการคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ แต่อาจหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ อาการเริ่มต้นของการติดเชื้อเอชไอวี ได้แก่

    • มีไข้
    • ปวดศีรษะ และมีอาการทางประสาทอื่น ๆ ร่วมด้วย
    • ต่อมน้ำเหลืองที่คอบวม เจ็บคอ
    • มีแผลในปาก หลอดอาหาร ทวารหนัก หรืออวัยวะเพศ
    • ไอ
    • น้ำหนักลด
    • ผื่นขึ้น
    • ท้องเสีย
    • เหงื่อออกมากโดยเฉพาะตอนกลางคืน
    • ปวดกล้ามเนื้อ ข้อต่อ

    ระยะที่ 2: อาการแฝงทางคลินิก

    ระยะนี้เรียกอีกอย่างว่า การติดเชื้อเอชไอวีเรื้อรัง อาการคล้ายไข้หวัดใหญ่จะหายไป แต่ปริมาณไวรัสอาจเพิ่มขึ้นในระดับที่ต่ำอยู่ หากไม่ได้รับการรักษา เชื้อเอชไอวีอาจทำลายเซลล์ซีดีโฟร์ และระบบภูมิคุ้มกัน บางคนอาจไม่แสดงอาการใด ๆ ผู้ติดเชื้อเอชไอวีในระยะที่ 2 นี้จึงอาจแพร่กระจายเชื้อไวรัสไปยังผู้อื่นได้โดยไม่รู้ตัว

    ระยะที่ 3: อาการของโรคเอดส์

    หากไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะแรก เชื้อไวรัสเอชไอวีอาจพัฒนาเข้าสู่ระยะสุดท้ายที่เรียกว่า ระยะเอดส์ หรือโรคเอดส์ ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอ จนอาจแสดงอาการของโรคเอดส์ ดังนี้

    • น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว
    • หายใจถี่
    • เหนื่อยตลอดเวลา
    • เหงื่อออกตอนกลางคืน
    • มีไข้นานกว่า 10 วัน
    • ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ รักแร้ ขาหนีบบวมเป็นเวลานาน
    • ท้องเสียนานกว่า 1 สัปดาห์
    • ผื่นที่ผิวหนัง
    • ระบบประสาทผิดปกติ เช่น ซึมเศร้า ความจำเสื่อม
    • มีแผลในปาก ทวารหนัก และรอบ ๆ อวัยวะเพศ
    • จุดสีขาว ชมพู น้ำตาล แดง หรือม่วงใต้ผิวหนัง หรือภายในปาก จมูก เปลือกตา

    การป้องกันโรคเอดส์

    การป้องกันโรคเอดส์ อาจทำได้ดังนี้

    • สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
    • ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น เนื่องจากเชื้อเอชไอวีสามารถแพร่กระจายผ่านทางเลือดได้
    • ไม่ควรมีคู่นอนหลายคน เพราะอาจเสี่ยงได้รับเชื้อและแพร่กระจายเชื้อเอชไอวี
    • สังเกตอาการของการติดเชื้อเอชไอวี และเข้าตรวจคัดกรองหาเชื้อเป็นประจำ
    • ใช้ยาเพร็พ (PrEP-Pre-Exposure Prophylaxis) ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสที่ใช้อาจช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวีผ่านทางเพศสัมพันธ์ได้มากถึง 90% เหมาะสำหรับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อเอชไอวี แต่มีความเสี่ยงสูงที่จะได้เชื้อ ควรเข้ารับการตรวจหาเชื้อก่อนใช้ และควรใช้ยาเพร็พต่อเนื่องตามที่คุณหมอกำหนด พร้อมกับเข้ารับการทดสอบหาเชื้อทุก ๆ 6 เดือน
    • ใช้ยาเพ็พ (PEP- Post-Exposure Prophylaxis) ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสฉุกเฉินสำหรับผู้ที่มีโอกาสติดเชื้อเอชไอวี โดยจะต้องใช้ยาเพ็พภายใน 72 ชั่วโมง และใช้ยาติดต่อกัน 28 วัน ทั้งนี้ หากสงสัยว่าสัมผัสเชื้อและเสี่ยงติดเชื้อ ควรรีบเข้ารับคำปรึกษาจากคุณหมอและตรวจเลือดทันที

    หมายเหตุ

    Hello Health Group ไม่ได้ให้คำแนะนำด้านการแพทย์ การวินิจฉัยโรค หรือการรักษาโรคแต่อย่างใด

    ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลโดย

    สิฏฐิณิศา รัชตวโรทัย


    เขียนโดย ปัญญพัฒน์ เอี่ยมสิน · แก้ไขล่าสุด 03/04/2023

    advertisement iconโฆษณา

    คุณได้รับประโยชน์จากบทความนี้หรือไม่?

    advertisement iconโฆษณา
    advertisement iconโฆษณา