แตกในปาก หรือการหลั่งน้ำอสุจิในปากของคู่นอนเมื่อถึงจุดสุดยอดขณะมีเพศสัมพันธ์ทางปากหรือออรัลเซ็กส์ (Oral Sex) ซึ่งมักเพิ่มโอกาสเสี่ยงในการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะการติดเชื้อเอชไอวี (Human Immunodeficiency Virus หรือ HIV) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเอดส์ หนองใน และเริม นอกจากนี้ การกลืนน้ำอสุจิหลังแตกในปาก อาจเพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อและอาจนำไปสู่อาการแพ้น้ำอสุจิด้วย ทั้งนี้ เพื่อลดความเสี่ยงต่อสุขภาพ ควรเลือกมีเพศสัมพันธ์โดยใช้ถุงยางอนามัย รวมถึงเลือกมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนเพียงคนเดียว หรือคู่นอนที่ผ่านการตรวจโรคมาแล้วเท่านั้น
[embed-health-tool-bmi]
แตกในปากมีความเสี่ยงต่อสุขภาพอย่างไร
แตกในปาก หรือการหลั่งน้ำอสุจิในปากคู่นอน อาจเพิ่มโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เพราะเชื้อโรคมักแพร่กระจายจากผู้ติดเชื้อสู่คู่นอนผ่านสารคัดหลั่งอย่างเลือด น้ำอสุจิ รวมถึงน้ำหล่อลื่น โดยเฉพาะหากคู่นอนมีแผลในปาก ก็อาจทำให้ติดโรคต่าง ๆ ได้
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และโรคอื่น ๆ ที่อาจติดต่อกันได้จากการแตกในปาก มีดังนี้
- โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือเอดส์ การติดเชื้อเอชไอวีซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเอดส์ อาจติดต่อกันได้จากการมีเพศสัมพันธ์ทางปาก โดยปกติ ถือว่าโอกาสในการติดเชื้อค่อนข้างต่ำ แต่ฝ่ายที่ใช้ปากมักมีความเสี่ยงสูงกว่าโดยเฉพาะหากมีแผลบริเวณปากหรือในปาก
- โรคหนองใน เกิดจากเชื้อแบคทีเรียไนซีเรีย โกโนเรียอี (Neisseria Gonorrhoeae) หากเกิดการติดเชื้อในเพศชาย จะรู้สึกแสบขณะปัสสาวะและมักมีหนองไหลออกจากองคชาต หากติดเชื้อบริเวณปาก ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บปวดหรือแสบร้อนในลำคอ รวมทั้งอาจมีจุดขาวภายในปากด้วย
- โรคหนองในเทียม เกิดจากเชื้อแบคทีเรียคลามัยเดีย ทราโคมาติส (Chlamydia Trachomatis) และมีอาการคล้ายโรคหนองในเมื่อติดเชื้อบริเวณอวัยวะเพศ อย่างไรก็ตาม หากติดเชื้อในลำคอ เนื่องจากการมีเพศสัมพันธ์ทางปากหรือการแตกในปาก ผู้ป่วยจะมีแผลพุพองบริเวณปากหรือริมฝีปาก และรู้สึกเจ็บในปากหรือลำคอร่วมด้วย
- เริม เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเฮอร์ปส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus หรือ HSV) ซึ่งติดต่อกันผ่านการมีเพศสัมพันธ์ในทุกรูปแบบ เช่น การจูบ การมีเพศสัมพันธ์ทางปาก ทางทวารหนัก โดยทั่วไป เมื่อติดเชื้อเอชเอสวี ผู้ป่วยจะมีตุ่มใสขึ้นบริเวณอวัยวะเพศหรือปาก และรู้สึกแสบร้อนร่วมด้วย อย่างไรก็ตาม เริมอาจหายเองแต่อาจกลับมาเป็นซ้ำได้
- แพ้น้ำอสุจิ นอกจากแตกในปากอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์แล้ว ยังอาจเป็นสาเหตุของการแพ้น้ำอสุจิซึ่งเกิดจากการที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำปฏิกิริยาต่อโปรตีนในน้ำอสุจิ โดยหลังกลืนน้ำอสุจิไปแล้ว 20-30 นาที อาจมีอาการคันตามลำตัว ผื่นลมพิษขึ้น หายใจไม่ออก ผิวบวมแดง อย่างไรก็ตาม การแพ้น้ำอสุจิพบได้ไม่บ่อย แต่หากมีอาการควรไปพบคุณหมอ
แตกในปาก อย่างไรให้ปลอดภัย
หากต้องการมีเพศสัมพันธ์ทางปากและแตกในปากอย่างปลอดภัย ควรปฏิบัติตัวตามคำแนะนำต่อไปนี้
- มีเพศสัมพันธ์โดยสวมถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
- หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ทางปากหากมีแผลบริเวณปากหรือในช่องปาก
- เลือกมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนเพียงคนเดียว หรือผู้ที่ผ่านการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์แล้ว
- เลือกบ้วนน้ำอสุจิทิ้ง แทนการกลืนลงคอหลังแตกในปาก
- หากมีเพศสัมพันธ์ทางปากกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี หรือผู้ที่มีแนวโน้มว่าอาจกำลังติดเชื้อดังกล่าว ให้รับประทานยาเพ็พ (PEP- Post-Exposure Prophylaxis) ภายใน 72 ชั่วโมงหลังมีเพศสัมพันธ์ เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวี