Transgender หรือทรานส์เจนเดอร์ คือ บุคคลข้ามเพศ ซึ่งมีอัตลักษณ์ทางเพศไม่ตรงกับเพศกำเนิด เช่น ผู้ชายที่รู้สึกว่าตนเองเป็นผู้หญิง หรือผู้หญิงที่รู้สึกว่าตนเองเป็นผู้ชาย โดยทรานส์เจนเดอร์จำนวนไม่น้อย เลือกรับฮอร์โมนเพศตรงข้าม เพื่อให้ตนมีรูปร่างหรือลักษณะใกล้เคียงกับเพศที่อยากเป็น และบางรายอาจเลือกแปลงเพศ เพื่อให้ตนมีลักษณะใกล้เคียงกับเพศที่อยากเป็นมากที่สุด
[embed-health-tool-ovulation]
ความทุกข์ใจในเพศสภาพของ Transgender คืออะไร
ความทุกข์ใจในเพศสภาพ (Gender Dysphoria) เป็นอาการหนึ่งซึ่งพบได้ในทรานส์เจนเดอร์ หมายถึง ความไม่พอใจที่อัตลักษณ์ทางเพศของตนไม่ตรงกับเพศโดยกำเนิด
สัญญาณที่อาจพบได้ของผู้มีความทุกข์ใจในเพศสภาพ คือ
- ขาดความมั่นใจในตัวเอง
- ไม่อยากเข้าสังคม ออกห่างสังคม
- ซึมเศร้าหรือวิตกกังวล
- ใช้ชีวิตเสี่ยงอันตรายโดยไม่จำเป็น เช่น เล่นกีฬาโลดโผน เล่นการพนัน พึ่งยาเสพติด
เมื่อผู้มีความทุกข์ใจในเพศสภาพไปพบคุณหมอหรือผู้เชี่ยวชาญ อาจได้รับการรักษา ดังนี้
- บำบัดทางจิตวิทยา เช่น การพูดคุยกับนักบำบัด ระบายปัญหา ความรู้สึก ความเครียด การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญถึงวิธีแก้ไข หรือหาทางออก
- บำบัดด้วยฮอร์โมน เพื่อให้มีลักษณะหรือรูปร่างของเพศที่อยากเป็น อาจโดยการฉีด ทา หรือรับประทานยาฮอร์โมน
- ผ่าตัดแปลงเพศ โดยมีทั้งจากชายเป็นหญิง และหญิงเป็นชาย
การบำบัดด้วยฮอร์โมนสำหรับ Transgender
สำหรับทรานส์เจนเดอร์ที่ต้องการรับฮอร์โมนของเพศตรงข้ามอาจใช้วิธีกิน ฉีด หรือทาบนร่างกาย เพื่อสร้างความรู้สึกแง่บวกให้ตัวเอง ด้วยการมีลักษณะของเพศตรงข้าม ทั้งนี้ ไม่ควรหาซื้อฮอร์โมนมาใช้เองเพราะอาจนำมาซึ่งความเสี่ยงทางสุขภาพ จากการบริโภคฮอร์โมนเกินขนาด
สำหรับผู้ชายที่อยากเป็นผู้หญิง ฮอร์โมนที่ต้องรับเข้าสู่ร่างกาย คือ เอสโทรเจน (Estrogen) ซึ่งทำให้เสียงแหลมสูง มีหน้าอก และขนบนร่างกายลดลง ตรงกันข้าม ผู้หญิงที่อยากเป็นผู้ชายจะรับประทานเทสโทสเตอโรน (Testosterone) เพื่อให้เสียงทุ้มใหญ่ มีหนวดขึ้น ขนดก และมีมวลกล้ามเนื้อเพิ่ม
ทรานส์เจนเดอร์ที่บำบัดด้วยฮอร์โมนอาจจะไม่ได้ผลทันที อาจใช้เวลาเป็นเดือน โดยผลที่แสดงออกมาในแต่ละคนจะไม่เท่ากัน
นอกจากนี้ ทรานส์เจนเดอร์ยังจำเป็นต้องรับฮอร์โมนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลักษณะของเพศตรงข้ามแสดงออกต่อไป ไม่เว้นแม้แต่ในกรณีแปลงเพศแล้ว ทั้งนี้ ความเสี่ยงของการรับฮอร์โมนระยะยาว มีดังนี้
- เป็นสิว
- มีไขมันในเลือดสูง
- ผมร่วง หัวล้าน
- เกิดภาวะเม็ดเลือดแดงมากกว่าปกติ
- เกิดนิ่วในถุงน้ำดี
- น้ำหนักลด
- หลอดเลือดดำอุดตัน
- เสี่ยงเป็นมะเร็ง
การแปลงเพศสำหรับ Transgender
ปัจจุบัน การแปลงเพศสามารถทำได้ทั้งจากเพศสภาพชายเป็นหญิง และหญิงเป็นชาย อย่างไรก็ตาม ทรานส์เจนเดอร์จำเป็นต้องผ่านเกณฑ์พิจารณาของคุณหมอก่อน ดังนี้
- อายุครบ 20 ปี บริบูรณ์ (ในกรณีอายุ 18 ปีหรือยังไม่ถึง 20 ปี จำเป็นต้องได้รับการยินยอมจากผู้ปกครองก่อน)
- ผ่านการประเมินสภาพจิตใจ และมีใบรับรองจากจิตแพทย์อย่างน้อย 2 คน
- ใช้ชีวิตในฐานะเพศตรงข้ามมาเกิน 1 ปี
- ใช้ฮอร์โมนเพศตรงข้ามมาเกิน 1 ปี
- สุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่เป็นโรค เช่น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคจิตเภท
สำหรับขั้นตอนการแปลงเพศคร่าว ๆ มีดังนี้
แปลงเพศจากชายเป็นหญิง
- สร้างช่องคลอดเทียมโดยใช้ผิวหนังขององคชาต
- ปรับแนวท่อปัสสาวะให้ไหลลงด้านล่าง
- ตกแต่งจุดที่ผ่าตัดเป็นคลิตอริส แคมนอก แคมใน
แปลงเพศจากหญิงเป็นชาย
- ผ่าตัดนำเต้านมออก
- ปรับลักษณะของหน้าอกให้เหมือนของผู้ชาย
- ผ่าตัดนำอวัยวะสืบพันธุ์ออกจากร่างกาย เช่น มดลูก รังไข่
- ผ่าตัดปิดช่องคลอด
- ยืดท่อปัสสาวะ โดยใช้เยื่อบุช่องคลอด
- สร้างอวัยวะเพศเทียมด้วยผิวหนังบริเวณโคนขาหรือหน้าท้อง
- สร้างถุงอัณฑะเทียมโดยใช้เนื้อเยื่อของแคมใหญ่
ข้อแตกต่างระหว่างการแปลงเพศจากชายเป็นหญิงและจากหญิงเป็นชาย คือจากชายเป็นหญิง ทุกขั้นตอนจะผ่าตัดครั้งเดียวโดยใช้เวลาประมาณ 4-6 ชั่วโมง ในขณะที่จากหญิงเป็นชายต้องแบ่งการผ่าตัดออกเป็น 2-3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างระหว่างการผ่าตัดหน้าอกและการผ่าตัดอวัยวะสืบพันธุ์ประมาณ 3-6 เดือน เพื่อไม่ให้ร่างกายบอบช้ำจนเกินไป และต้องรอให้ฟื้นตัวก่อนผ่าตัดครั้งที่ 2
อย่างไรก็ตาม ในการแปลงเพศจากหญิงเป็นชายสามารถเลือกได้ว่าจะผ่าตัดอย่างเต็มรูปแบบ หรือแค่เพียงบางส่วน เช่นต้องการผ่าตัดหน้าอกเท่านั้น