ผิวแข็งแรง คือ ผิวที่มีสุขภาพดีไม่ติดเชื้อ ไม่มีอาการคัน แห้ง แตก หรือปัญหาสภาพผิวอื่น ๆ และเป็นผิวที่ไม่แพ้หรือระคายเคืองง่าย การดูแลและปกป้องผิวให้สุขภาพดี ชุ่มชื้นจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ผิวแข็งแรง และสามารถทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
[embed-health-tool-bmr]
สิ่งที่ทำลายสุขภาพผิว ให้ผิวอ่อนแอ แพ้ง่าย
ผิวทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย รักษาสมดุลของเหลว และเป็นเกราะป้องกันอวัยวะภายใน ซึ่งต้องเผชิญกับการคุกคามจากสภาพแวดล้อมที่ทำร้ายผิวมากมาย โดยปัจจัยที่อาจทำให้ผิวเสียหายและเสื่อมสภาพไวขึ้น ดังนี้
- สภาพแวดล้อมที่ชื้นเกินไปหรือแห้งเกินไป
- ผิวสัมผัสกับแสงแดดมากเกินไปโดยที่ไม่ได้รับการป้องกัน
- การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารสเตียรอยด์ เช่น ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือยาแต้มสิวที่ไม่ผ่านการรับรอง
- การขัดผิวหรือใช้ผลิตภัณฑ์ล้างทำความสะอาดผิวมากเกินไป
- อุปกรณ์และน้ำยาทำความสะอาดในบ้าน เช่น ผงซักฟอก สบู่ น้ำยาล้างห้องน้ำ
- สารก่อภูมิแพ้ สารระคายเคืองและมลพิษ เช่น ควันรถ ฝุ่น
- การสัมผัสกับสารเคมีที่รุนแรงจากที่ทำงานหรือโรงงานอุตสาหกรรม เช่น สีย้อมผ้า ยาฆ่าแมลง
- ความเครียดหรือความวิตกกังวล
- ปัจจัยทางพันธุกรรมที่อาจส่งผลกระทบต่อสภาพผิว เช่น โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง โรคสะเก็ดเงิน
ผิวไม่แข็งแรง เป็นอย่างไร
การหมั่นสังเกตผิวของตนเอง และคอยสังเกตสัญญาณที่บ่งบอกถึงสุขภาพผิวที่ไม่แข็งแรง อาจช่วยให้สามารถปกป้องและดูแลผิวได้เหมาะสมมากขึ้น โดยสัญญาณอาจมีดังนี้
- ผิวแห้ง แตก เป็นขุย
- มีอาการคัน ระคายเคืองง่าย เมื่อมีการเปลี่ยนสภาพแวดล้อม เช่น ผดขึ้นหน้าผากเมื่ออากาศแห้ง อากาศเย็น อากาศร้อน
- ผิวหยาบกร้านหรือเปลี่ยนสี
- ผิวบอบบางและอักเสบง่าย
- มีสิวขึ้น
- ผิวติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัสหรือเชื้อรา
5 เคล็ดลับเพื่อผิวแข็งแรง
สำหรับเคล็ดลับเพื่อผิวแข็งแรงอาจทำได้ดังนี้
-
รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
อาหารถือเป็นปัจจัยสำคัญประการแรกที่จะช่วยบำรุงผิวให้แข็งแรงจากภายในสู่ภายนอก และอาจช่วยชะลอริ้วรอยแห่งวัยที่เกิดขึ้นในระดับเซลล์ที่ลึกกว่าได้เป็นอย่างดี อาหารที่ช่วยบำรุงผิว เช่น
- มะเขือเทศ อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ และสารต้านอนุมูลอิสระอย่างไลโคปีน (Lycopene) ที่อาจช่วยปกป้องผิวจากการถูกทำลายจากมลพิษ และสภาพอากาศต่าง ๆ รวมถึงรังสียูวี โดยมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Photochemical & Photobiological Sciences เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 ศึกษาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่อุดมด้วยไลโคปีนและการป้องกันแสงแดด โดยให้อาสาสมัครบริโภคมะเขือเทศที่อุดมด้วยไลโคปีน ซึ่งเป็นสารประกอบในกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่สำคัญในมะเขือเทศ ประมาณ 10-12 สัปดาห์ พบว่า ผิวของอาสามัครที่ไวต่อการเกิดผื่นแดงจากรังสียูวี มีความไวในการเกิดผื่นแดงลดลง นอกจากนี้ แคโรทีนอยด์ยังอาจช่วยป้องกันรังสียูวีที่เป็นอันตรายต่อผิวได้
- ชาเขียว มีสารประกอบอย่างโพลีฟีนอล (Polyphenols) ซึ่งอาจมีส่วนช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวที่กำลังเสื่อมสภาพ ทั้งยังอาจมีประโยชน์ในการรักษาบาดแผลหรือปัญหาผิวบางชนิดได้ เช่น โรคสะเก็ดเงิน รังแค โดยมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Mini-Reviews in Medicinal Chemistry เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 ศึกษาเกี่ยวกับการป้องกันผิวจากแสงแดดและการยับยั้งการก่อมะเร็งของโพลีฟีนอล พบว่า การบริโภคโพลีฟีนอลส่งผลดีต่อผิวหนัง เช่น ปกป้องผิวจากรังสียูวี ป้องกันการอักเสบและความเสื่อมสภาพของผิว ป้องกันความเสียหายของดีเอ็นเอ อาจลดความเสี่ยงเกิดมะเร็งบางชนิดได้
- คะน้า เป็นผักที่อุดมไปด้วยลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพดวงตาและผิว อาจช่วยปกป้องผิวจากความเสียหายที่เกิดจากแสงแดดได้ โดยมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์ในวารสาร Clinics in Dermatology เมื่อเดือนมีนาคม-เมษายน พ.ศ. 2552 ศึกษาเกี่ยวกับลูทีนและซีแซนทีนที่มีผลต่อสุขภาพตาและผิวหนัง พบว่า ลูทีนและซีแซนทีนทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ อาจปกป้องความเสียหายของเรตินาในดวงตาและปกป้องผิวจากรังสียูวี
-
กักเก็บความชุ่มชื้นในผิว
ผิวหนังมีน้ำเป็นส่วนประกอบปริมาณมาก การเติมและกักเก็บควาชุ่มชื้นให้แก่ผิวจึงเป็นวิธีที่จะช่วยส่งเสริมให้ผิวแข็งแรงและช่องว่างระหว่างเซลล์ผิวให้เรียบยิ่งขึ้น วิธีต่อไปนี้อาช่วยเติมและกักเก็บความชุ่มชื้นเพื่อป้องกันปัญหาผิวแห้งแตกได้ เช่น
- ควรอาบน้ำอุณหภูมิปกติวันละ 5-10 นาที เนื่องจากการอาบน้ำเป็นเวลานานเกินไปอาจขจัดเอาน้ำมันบนผิวออกทำให้ผิวแห้งมากขึ้น
- หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ที่กัดผิวรุนแรง ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวสูตรอ่อนโยนและปราศจากน้ำหอม
- หลีกเลี่ยงการขัดผิวบ่อยครั้ง เพราะอาจทำลายผิว ทำให้ผิวเป็นแผลและแห้งได้
- หลังจากการอาบน้ำให้ซับผิวเบา ๆ ด้วยผ้าขนหนูและให้ความชุ่มชื้นกับผิวทันทีในขณะที่ผิวหมาด ๆ ด้วยมอยเจอร์ไรเซอร์ ขี้ผึ้ง โลชั่นหรือครีมบำรุงผิว
- เลือกสวมเสื้อผ้าที่ไม่ก่อให้เกิดความระคายเคืองและระบายอากาศได้ดี เช่น ผ้าไหม ผ้าฝ้าย
- เลือกใช้น้ำยาซักผ้าที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้และระคายเคือง
- หลีกเลี่ยงการเกาผิวเพราะอาจทำให้ผิวบาดเจ็บ แต่อาจใช้วิธีการประคบเย็นและทามอยเจอร์ไรเซอร์ เพื่อช่วยควบคุมอาการคันได้
- หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้เตาปิ้ง ย่าง หรือแหล่งความร้อนอื่น ๆ ที่อาจทำให้ผิวแห้งเกินไป
- ใช้เครื่องทำความชื้นในช่วงที่อากาศแห้งเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
- ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อข่วยรักษาสมดุลของเหลวในร่างกาย บำรุงสุขภาพผิว ช่วยในการทำงานของลำไส้ ควบคุมแคลอรี่ รวมทั้งช่วยให้ไตและกล้ามเนื้อสุขภาพดี ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายและเสริมความชุ่มชื้นให้กับผิว ส่วนผู้ที่ออกกำลังกายหรือสูญเสียเหงื่อมากควรจิบน้ำเพิ่มประมาณ 200-300 มิลลิลิตร เพื่อทดแทนน้ำที่สูญเสียไป
-
จัดการกับความเครียด
ความเครียดที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนหลายชนิด เช่น ฮอร์โมนคอร์ติซอลที่ส่งผลทำให้ต่อมใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันมากขึ้น ทำให้ผิวมันมีแนวโน้มเป็นสิว นอกจากนี้ ความเครียดยังกระตุ้นให้เกิดปัญหาผิวอื่น ๆ เช่น สะเก็ดเงิน ผิวหนังอักเสบโรซาเชีย (Rosacea) กลาก ลมพิษ ผื่นผิวหนัง แผลพุพอง ทั้งยังอาจทำให้ปัญหาผิวที่เกิดขึ้นหายยาก และทำให้ผิวบอบบางได้ด้วย
-
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอเป็นเวลา 7-9 ชั่วโมง/วัน อาจช่วยลดปัญหาความหมองคล้ำใต้ดวงตา ลดริ้วรอยและช่วยปรับปรุงให้ผิวดูสม่ำเสมอขึ้น เนื่องจากในช่วงที่นอนหลับร่างกายจะเข้าสู่กระบวนการซ่อมแซม สร้างเซลล์เม็ดเลือด กล้ามเนื้อ เซลล์สมอง สร้างผิวหนังและสร้างคอลลาเจนซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้ผิวหย่อนคล้อย ทั้งยังช่วยลดความเครียดอีกด้วย
-
งดการสูบบุหรี่
การสูบบุหรี่ทำให้เกิดปัญหาผิวมากมายโดยเฉพาะริ้วรอยก่อนวัย ซึ่งสารเคมีในบุหรี่ เช่น คาร์บอนมอนอกไซด์ (Carbon Monoxide) ไฮโดรเจนไซยาไนด์ (Hydrogen Cyanide) นิโคติน อาจทำให้หลอดเลือดตีบตัน ลดการไหลเวียนของออกซิเจนและสารอาหารไปยังเซลล์ผิวหนัง เร่งกระบวนการเสื่อมสภาพตามปกติของผิวให้เร็วขึ้น นอกจากนี้ ความร้อนและควันจากบุหรี่อาจทำให้ผิวแห้งซึ่งทำให้เกิดปัญหาผิวตามมา เช่น รอยตีนกา รอยย่นระหว่างคิ้ว ผิวไม่สม่ำเสมอ รอยพับลึก อาการบวมใต้ตา ริ้วรอยรอบปาก ริมฝีปากบางลง