บางครั้งการเป็นสิว โดยเฉพาะสิวอักเสบ อาจทิ้งร่องรอยอย่างรอยแดงเอาไว้บนผิวหนัง โดยปกติแล้ว รอยแดงจากสิว อาจหายไปได้เองหลังจากดูแลผิวด้วยตัวเองอย่างถูกต้อง จึงควรศึกษาวิธีรักษารอยแดงจากสิวอย่างถูกวิธี เพื่อช่วยปรับสีผิวให้ดูสม่ำเสมอและช่วยให้รอยแดงจากสิวดูจางลง และควรทาครีมกันแดดเป็นประจำ ล้างหน้าให้สะอาด หลีกเลี่ยงการบีบหรือแกะเกาสิวที่อาจทำให้รอยดำหรือรอยแดงจากสิวหายช้าลง
[embed-health-tool-bmi]
รอยแดงจากสิว เกิดจากอะไร
รอยแดงจากสิว (Post-Inflammatory Erythema หรือ Post-acne erythema) เกิดจากหลอดเลือดฝอยบนผิวหนังขยายตัวเมื่อเกิดสิว โดยเฉพาะเมื่อเป็นสิวอักเสบ มักเกิดร่วมกับอาการผิวหนังอักเสบ ระคายเคือง และรอยแดงจากสิวอาจจะยังคงอยู่แม้สิวจะหายแล้วก็ตาม โดยทั่วไปแล้ว ความเสียหายหรือการขยายตัวของหลอดเลือดเมื่อผิวหนังอักเสบ เป็นแผล ระคายเคือง
วิธีรักษา รอยแดงจากสิว
รอยแดงจากสิว อาจรักษาหรือบรรเทาได้ด้วยวิธีต่อไปนี้
- การใช้ไนอาซินาไมด์ (Niacinamide) ความเข้มตั้งแต่ 2-10% เป็นวิตามินบี 3 รูปแบบหนึ่งที่ใช้รักษาอาการอักเสบของผิวหนังและช่วยคงความชุ่มชื้นให้ผิว อาจช่วยลดรอยแดงที่เกิดจากสิว รวมถึงอาจช่วยลดการเกิดสิวเรื้อรังได้
- การใช้วิตามินซีชนิดทาเฉพาะที่ (Topical vitamin C) ความเข้มข้นตั้งแต่ 10-20% เพื่อช่วยต้านการอักเสบ และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวหนังซึ่งอาจส่งผลให้ผิวหนังซ่อมแซมตัวเองได้ดีขึ้น ป้องกันการเกิดรอยแดงและรอยดำ ทั้งยังช่วยปรับผิวให้ดูกระจ่างใสและสีผิวให้ดูสม่ำเสมอขึ้น
- การใช้กรดซาลิไซลิก (Salicylic acid) ความเข้มข้นตั้งแต่ 2-5% เป็นสารลอกผิวที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ก่อโรค เช่น แบคทีเรีย ช่วยลดอาการแดงและระคายเคือง ทั้งยังช่วยป้องกันการเกิดรอยแดงจากสิวได้
- การประคบน้ำแข็ง นำผ้าสะอาดห่อน้ำแข็งแล้วมาประคบตรงรอยแดงจากสิวไม่เกิน 10 นาที อาจช่วยลดอาการปวด บวม และแดงได้
- การใช้กรดไฮยาลูรอนิค หรือไฮยาลูรอน (Hyaluronic Acid) มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนประกอบของกรดไฮยาลูรอนิคไม่ทำให้รูขุนขนอุดตัน ช่วยคงความผิวชุ่มชื้นให้ผิว อาจช่วยลดอาการระคายเคืองและรอยแดงจากสิวได้
- การกรอผิว (Dermabrasion) เช่น การยิงเลเซอร์ การกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี อาจช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วที่อุดตันอยู่ในรูขุมขน และช่วยกระชับรูขุมขน ซึ่งอาจส่งผลให้รอยดำและรอยแดงจากสิวลดลงได้
- การรักษาด้วยเลเซอร์ เช่น เลเซอร์ไอพีแอล (IPL หรือ Intense Pulsed Light) เลเซอร์เพาซ์ดายด์ (Pulsed dye laser) เพื่อกำจัดหลอดเลือดที่เสียหายใต้ผิวหนัง ลดการอักเสบและเม็ดสีผิวที่ผิดปกติ ทั้งนี้อาจต้องทำซ้ำหลายครั้งถึงจะเห็นผลลัพธ์ชัดเจน
- การใช้ไมโครนีดเดิล (Microneedling) เป็นการใช้เข็มขนาดเล็กกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ อาจช่วยลดรอยแดงที่เกิดจากสิวและรอยแผลเป็นจากสิวได้ และอาจให้ผลดีเมื่อใช้ร่วมกับเซรั่มวิตามินซีหรือเทรติโนอินชนิดทาเฉพาะที่ (Topical Tretinoin)
วิธีดูแลตัวเองเมื่อเป็นสิว
วิธีดูแลตัวเองเมื่อเป็นสิว อาจทำได้ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการสครับหน้า มาส์กหน้า หรือล้างหน้าบ่อยเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองและรอยแดงจากสิวแย่ลงได้
- ใช้ยารักษาสิวตามคำแนะนำของคุณหมอผิวหนังหรือเภสัชกร หรือไปพบคุณหมอผิวหนังตั้งแต่เนิ่น ๆ ไม่ปล่อยให้สิวลุกลามหรือเป็นสิวรุนแรง เพราะอาจทำให้มีรอยดำ รอยแดง หรือรอยแผลเป็นจากสิวที่หายได้ยาก หรือทำให้การติดเชื้อลุกลามได้
- การรักษารอยแดงจากสิวด้วยการใช้ครีมและการเลเซอร์อาจทำให้ผิวบางและคล้ำเสียได้ง่ายขึ้น จึงควรทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะเมื่อออกแดด ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50 ขึ้นไปและมีค่า PA ก่อนออกแดด 15-30 นาที และทาซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมงเนื่องจากแสงแดดอาจทำให้สิวและรอยแดงจากสิวแย่ลงกลายเป็นรอยดำและหายช้ากว่าปกติ
- ไม่ใช้มือสัมผัสใบหน้าบ่อย ๆ เนื่องจากแบคทีเรียหรือสิ่งสกปรกจากมืออาจติดไปบนใบหน้า รวมทั้งควรงดแกะเกาเพราะอาจทำให้รอยแดงจากสิวยิ่งแย่ลง
- ใช้เครื่องสำอางแต่น้อยหรืองดใช้เครื่องสำอางในช่วงที่เป็นสิว เนื่องจากอาจทำให้รูขุมขนอุดตันได้ง่ายกว่าเดิมและทำให้รอยแดงจากสิวหายได้ช้าลง
- ล้างครีมกันแดดและเครื่องสำอางให้หมดแล้วล้างหน้าให้สะอาดก่อนนอนทุกครั้ง ไม่ควรนอนหลับโดยไม่ล้างครีมกันแดดหรือเครื่องสำอาง เพราะอาจทำให้รูขุมขนอุดตัน หรือสิวและรอยแดงจากสิวแย่ลง
- ล้างหน้าอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ด้วยน้ำสะอาดอุณหภูมิห้อง และเลือกใช้โฟมล้างหน้าที่อ่อนโยนต่อผิว เหมาะกับคนเป็นสิว ไม่มีส่วนประกอบที่มักทำให้ผิวระคายเคือง เช่น น้ำหอม แอลกอฮอล์ พาราเบน
- สระผมให้สะอาดเป็นประจำ และดูแลไม่ให้เส้นผมปรกใบหน้าเพื่อไม่ให้น้ำมันและสิ่งสกปรกจากเส้นผมสัมผัสใบหน้าทำให้กระตุ้นการเกิดสิวที่หน้าได้